ขั้นตอนการทำบัตรประจำตัวประชาชน
- ตรวจสอบเอกสารตามทะเบียนบ้าน / ใบสูติบัตร / บัตรฯ เดิม /
บัตรฯชำรุด / บัตรฯสูญหาย กรอกข้อมูลบุคคลเบื้องต้น
รับบัตรคิวด้านหน้าประชาสัมพันธ์ และรอเรียกบริการตามหมายเลขคิว
- มาพบเจ้าหน้าที่ที่ช่องบริการ 2
ตรวจสอบข้อมูลรายการบุคคลและภาพใบหน้าจากฐานข้อมูลฯ
เบื้อนต้นรอเรียกบริการตามหมายเลขคิว (สำหรับกรณีบัตรหายขอมีบัตรครั้งแรก
และบัตรชำรุด จะใช้เวลานานกว่าการทำบัตรกรณีอื่นๆ
เนื่องจากจะต้องบันทึกปากคำและถ่ายเอกสารเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนของการถ่ายรูป
- รอเรียกชื่อรับบริการถ่ายรูป
- ตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ยื่นคำขอ คือ "นิ้วโป้งข้างขวาและข้างซ้าย" จัดพิมพ์ บ.ป.1 และถ่ายรูป
- ผลิตบัตรประจำตัวประชาชนและจัดเก็บลายพิมพ์นิ้วมือ คือ นิ้วชี้ข้างขวาและข้างซ้าย หรือนิ้วถัดไป ลงในหน่วยความจำของ CHIP
- ชำระเงินและมอบบัตรประจำตัวประชาชนให้กับผู้ยื่นคำขอมีบัตร
ระยะเวลาในการทำบัตรประจำตัวประชาชน/คน
ตั้งแต่ขั้นตอนที่ 2-6 ประมาณ 10 นาที
การขอมีบัตรครั้งแรก
ผู้มีสัญชาติไทย มีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ ต้องขอมีบัตรประจำตัวประชาชน ภายใน 60 วัน หากพ้นกำหนดจะ
"เสียค่าปรับ 20 บาท"
หลักฐานที่ต้องนำมา
- สำเนาทะเบียนบ้าน (ฉบับจริง)
- สูติบัตร (ฉบับจริง)
- บิดาหรือมารดาหรือเจ้าบ้าน " พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนมารับรอง"
บัตรเดิมหมดอายุ
เมื่อบัตรเดิมหมดอายุให้ทำบัตรใหม่ภายใน 60 วัน
หากพ้นกำหนด " เสียค่าปรับ 20 บาท "
แต่หากผู้ถือบัตรจะทำบัตรใหม่ก่อนบัตรหมดอายุก็ทำได้ภายใน 60
วันก่อนวันที่บัตรเดิมหมดอายุ
" เสียค่าธรรมเนียม 20 บาท "
หลักฐานที่ต้องนำมา
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- บัตรประจำตัวประชาชนเดิมที่หมดอายุ
บัตรหาย หรือ Chip ข้อมูลสูญหาย
เมื่อบัตรหายต้องทำบัตรใหม่ภายใน 60 วัน หากพ้นกำหนดจะ " เสียค่าปรับ 20 บาท "
หลักฐานที่ต้องนำมา
- สำเนาทะเบียนบ้าน (ฉบับจริง)
- หลักฐานอื่นๆ ที่มีรูปถ่ายที่ทางราชการออกให้ เช่น ใบขับขี่,วุฒิการศึกษา,Passport,หลักฐานทางทหาร
- บุคคลที่น่าเชื่อถือมารับรอง (อายุ 25 ปี ขึ้นไป) พร้อมบัตรประจำตัวประชาชน
บัตรชำรุด
เมื่อบัตรเดิมชำรุดให้เปลี่ยนบัตรใหม่ภายใน 60 วัน หากพ้นกำหนดจะ " เสียค่าปรับ 20 "
หลักฐานที่ต้องนำมา
- สำเนาทะเบียนบ้าน (ฉบับจริง)
- บัตรประจำตัวประชาชนเดิมที่ชำรุด
- หลักฐานอื่นๆ ที่มีรูปถ่ายที่ทางราชการออกให้ เช่น ใบขับขี่,วุฒิการศึกษา, Passport,หลักฐานทางทหาร " เสียค่าธรรมเนียม 20 บาท "
กรณีเปลี่ยนที่อยู่
หากผู้ถือบัตรย้ายที่อยู่จะขอเปลี่ยนบัตรให้ตรงกับทะเบียนบ้านก็ได้
หลักฐานที่ต้องนำมา
- สำเนาทะเบียนบ้าน (ฉบับจริง)
- บัตรประจำตัวประชาชนเดิม " เสียค่าธรรมเนียม 20 บาท"
กรณีเปลี่ยนชื่อตัว หรือชื่อสกุล
หากเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล หรือเปลี่ยนชื่อตัว และชื่อสกุล ให้เปลี่ยนบัตรภายใน 60 วัน หากพ้นกำหนดจะ " เสียค่าปรับ 20 บาท"
หลักฐานที่ต้องนำมา
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- บัตรประจำตัวประชาชน
- หลักฐานการเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล (ฉบับจริง)
"เสียค่าธรรมเนียม 20 บาท"
ความหมายของเลข 13 หลัก
รู้หรือไม่ ความหมายของเลข 13 หลัก ในบัตรประจำตัวประชาชน เตรียมหยิบบัตรประชาชนขึ้นมาเลย แล้วมาดูไปพร้อมๆกันครับ
หลักที่ 1
หมายถึงประเภทบุคคลซึ่งมี 8 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่า
เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป
อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า
เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป
แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527)หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย
หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า
โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว
ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัวก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น
ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน
พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001
01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527
ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว
จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง
การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1
มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน
ที่
ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น
ก็เพราะก่อนหน้านี้ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อน
เลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง
เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว
ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ ประเภทที่ 5-8
ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ
เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว
แต่
บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน
เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน
เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง
หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้
แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ
กลายเป็น 5 1001 01245 29 9
· ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย
แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย
เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา
กลุ่ม
นี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อยู่ชั่วคราว เช่น
นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย
แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย
จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา
คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6
· ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย
คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133
· ประเภทที่ 8 คือ
คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ
ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวหรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็น
สัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31
พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี
แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้นจะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้
หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5
หมายถึงรหัสของสำนักทะเบียนที่ท่านมีชื่อในทะเบียนบ้านในขณะให้เลขสำหรับเด็กเกิดใหม่จะหมายถึงถิ่นที่เกิดเลยทีเดียว
- โดยหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงจังหวัด
- หลักที่ 4 และ 5 หมายถึงอำเภอหรือเทศบาล
หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10
หมายถึงกลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภทตามหลักแรก หรือหมายถึงเล่มที่ของสูติบัตรแล้วแต่กรณี
หลักที่ 11 และ 12
หมายถึงลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภทหรือหมายถึงใบที่ของสูติบัตรแต่ละเล่มแล้วแต่กรณีหลักที่ 13คือ ตัวเลขตรวจสอบความถูกต้องของเลข 12 หลักแรก
ตัวเลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น อันเป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้
แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้นใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น
การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน
“ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย
และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้
ข้อมูลจาก
http://phantongsmile.com/index2.php?option=com_content&view=article&id=181&Itemid=56
ข้อมูลจาก http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1430173
(พ.ร.บ. รับราชการทหาร
พ.ศ.๒๔๙๗ และกฎกระทรวงออกตามความใน พ.ร.บ. ฯพ.ศ.๒๔๙๘) ประชาชนชาวไทยโดยเฉพาะชายที่มีสัญชาติไทย
ต้องเข้ารับราชการทหารด้วยกันทุกคน แต่มีจำนวนมากยังไม่เข้าใจ เกี่ยวกับหน้าที่การรับราชการทหารในขั้นตอนต่าง
ๆ เช่น การขึ้นทะเบียนทหาร การรับหมายเกณฑ์ การเก็ณฑ์ทหาร รวมไปถึงการขอยกเว้น
และการขอผ่อนผันในการเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ซึ่งก่อให้เกิดความสับสน
ไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติตามหน้าที่ที่ถูกต้อง หรือได้รับคำชี้นำในการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
จนกระทั่งต้องถูกดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก ในข้อหาหลีกเลี่ยง
ขัดขื่นไม่ไปลงบัญชีทหารกองเกิน (ขึ้นทะเบียนทหาร) ไม่ไปรับหมายเรียก(หมายเกณฑ์)
, หรือไม่ไปเข้ารับการตรวจเลือก (เกณฑ์ทหาร) และ อื่น ๆ เป็นเหตุให้ต้องเสียทั้งเวลาและทรัพย์สินในการต่อสู้คดี
ดังนั้นเพื่อให้ชาวไทย ซึ่งเป็นทั้งนักเรียนนักศึกษาและประชาชนทั่วไปได้ทราบถึงหน้าที่และการปฏิบัติ
เกี่ยวกับการรับราชการทหารได้ถูกต้องกองการสัสดี กรมเสมียนตรา จึงได้ทำคู่มือฉบับนี้ขึ้น
เพื่อชี้แจงเน้นย้ำ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรับราชการทหาร เพื่อจะปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายกำหนดไว้ได้อย่างถูกต้อง
และมีจิตสำนึกที่ดี พร้อมที่จะอุทิศแรงกายแรงใจ เสียสละความสุขส่วนตัว
เพื่อรับใช้ประเทศชาติ
ด้วยความเต็มใจสมกับเป็นชายชาติทหารอย่างแท้จริง
หวังว่าคู่มือสำหรับประชาชนเรื่องความรู้เกี่ยวกับ การรับราชการทหารฉบับ
นี้ คงเป็นประโยชน์
แก่ท่านตามสมควร
ประเทศตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดที่
ใช้ปกครองประเทศเป็นต้นมา กำหนดให้ชายไทยทุกคนต้องรับราชการทหารและรัฐ
ธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรพุทธศักราช ๒๕๔๐ ฉบันที่ใช้ในปัจจุบันยังกำหนดไว้ในหมวดที่ ๔ หน้าที่ของชายไทย
มาตรา ๖๙ ซึ่งมีความว่า " บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รับราชการทหาร เสียภาษีอากร
ช่วยเหลือราชการ รับการศึกษา อบรม ...ฯลฯ.. ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
" กฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ พระราช
บัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๗ บัญญัติว่า "ชายที่มีสัญชาติ
เป็นไทย "และการได้มีสัญญาติไทยเป็นไปตามพระราชบัญญัติสัญชาติไทยตาม
กฎหมายมีหน้าที่รับราชการทหารด้วยตนเองทุกคน พ.ศ.๒๕๐๘
ดังนั้นหน้าที่ของชายไทยทุกคนต้องรับราชการทหาร
พูดง่าย ๆ ว่า "ต้องไปเกณฑ์ทหาร" ซึ่งการรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารเป็นเรื่อง
ที่มีเกียรติมี
ศักดิ์ศรี เพราะกองทัพไทยจะฝึกฝนผู้เข้ารับราชการหารให้มีระเบียบ
วินัย ฝึกหัดวิชาชีพเพิ่มพูนความรู้ในด้านต่าง ๆ อัน เป็นประโยชน์และมีคุณค่าอย่างมาก
แก่ทหารเกณฑ์ทุกคน ซึ่งปกติการเกณฑ์ทหารจะกระทำกันในช่วงเดือน เม.ย.
ของทุกปี ปีละครั้ง และต้องเข้ารับราชการเป็นทหารเกณฑ์จำนวน ๒
ปี แต่มีข้อยกเว้นและผ่อนผันสำหรับผู้ที่เรียนวิชารักษาดินแดน(ร.ต.)
หรือผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับต่าง ๆ ซึ่งกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร
และกฎกระทรวง ซึ่งจะกล่าวต่อไป
๑.หน้าที่ของชายไทยที่จะต้องเกี่ยวกับการรับราชการทหารมีดังนี้
๑.๑
การลงบัญชีทหารกองเกิน (การขึ้นทะเบียนทหาร) ชายไทยเมื่ออายุย่างเข้า
๑๘ ปี (๑๗ ปีบริบูรณ์) ให้ไปแสดงตนเพื่อขึ้นทะเบียนทหารภายใน
ปี พ.ศ.นั้น
๑.๒
การรับหมายเรียก(การรับหมายเกณฑ์) ทหารกองเกินทุกคนเมื่อมีอายุย่างเข้า
๒๑ ปี (๒๐ ปี บริบูรณ์ ) ใน พ.ศ. ใดต้องไปแสดงตนเพื่อรับหมาย
เรียกที่อำเภอท้องที่ที่เป็นภูมิลำเนาทหารของตน ภายใน พ.ศ.นั้น
๑.๓
การเข้ารับการตรวจเลือก (การเข้าเกณฑ์ทหาร)ทหารกองเกินเมื่อได้รับหมายเรียกแล้วจะต้องไปเกณฑ์ทหารตามวัน
เวลา และสถานที่ที่กำหนด
ไว้ในหมายเรียก
๑.๔
การเข้ารับการเรียกพลของทหารกองหนุน ทหารที่ปลดจากกองประจำการโดยรับราชการในกองประจำการจนครบตามที่กฎหมายกำหนด
หรือทหารกองเกินซึ่งสำเร็จการฝึกวิชาทหารตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร
และได้ขึ้นทะเบียนกองประจำการแล้วปลดเป็นทหารกองหนุน
เมื่อมีหมายเรียกพล (เพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหาร หรือเพื่อทดลองความพรั่งพร้อม)
จะต้องไปรายงานตัวเพื่อเข้ารับการฝึก หรือทบทวนวิชาทหาร ให้มี
ความรู้ความสามารถพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๒.บุคคลที่จะได้สัญชาติไทย
จะต้องเข้าหลักเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
๒.๑
เกิดโดยบิดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย
๒.๒
เกิดนอกราชอาณาจักรไทย โดยมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือบิดาไม่มีสัญชาติ
๒.๓
เกิดในราชอาณาจักรไทย (นอกจากผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย ที่มีบิดามารดาเป็นคนต่างด้าว
และขณะที่เกิดบิดามารดาเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูต หรือเจ้าหน้าที่ในคณะผู้แทนทางการทูต
หรือพนักงานหรือผู้เชี่ยวชาญขององค์การระหว่างประเทศ และคนในครอบครัว
ซึ่งเป็นญาติอยู่ในอุปการะหรือคนใช้ ซึ่งเดินทางมาอยู่กับบุคคลดังกล่าว)
๒.๔
ผู้ที่ได้แปลงสัญชาติเป็นไทยตามกฎหมาย
๒.๕
บุคคลที่ได้กลับคืนสัญชาติไทย ชายที่มีสัญชาติไทย เริ่มผูกพันกับกฎหมายรับราชการทหาร
ตั้งแต่อายุครบ ๑๗ ปีบริบูรณ์ หรือ อายุย่างเข้า
๑๘ ปี ในวาระแรกที่ได้ขึ้นทะเบียนทหารที่อำเภอตามที่กฎหมายกำหนด
๓.การนับอายุ คนเกิดในวันใดเดือนใดก็ตามปีเดียวกัน
เมื่อสิ้นปีนั้น อายุจะเท่ากันหมด คือ ๑ ปีบริบูรณ์และนับเป็นอายุย่าง ๒ ปีด้วย
เช่น คนเกิดวันที่ ๑ ม.ค.๒๕๔๐ กับคนเกิดวันที่ ๓๑ ธ.ค.๒๕๔๐ เมื่อสิ้นปี ๒๕๔๐
และในวันที่ ๑ ม.ค.๒๕๔๑ ให้นับอายุครบ ๑ ปีบริบูรณ์ และจะมีอายุย่าง ๒ ปี เท่ากัน
เรื่อยไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธ.ค.๒๕๔๑ และเมื่อสิ้นปี ๒๕๔๑ แล้ว ในวันที่
๑ ม.ค.๒๕๔๒ ให้นับอายุครบ ๒ ปีบริบูรณ์และจะมีอายุย่าง ๓ ปี ด้วยให้นับเช่นนี้ไป
เรื่อย ๆ ตามที่ต้องการ การจะทราบว่าอายุปัจจุบันเท่าใด้ให้เอา
พ.ศ.ปัจจุบันตั้งลบด้วย พ.ศ.เกิด เช่น คนเกิด พ.ศ.๒๕๒๔ จะมีอายุครบ ๑๗ ปีบริบูรณ์
หรือย่างเข้า ๑๘ ปี ตลอดปี ๒๕๔๑ คือ อายุครบและอายุย่าง ตั้งแต่วันที่
๑ ม.ค.๔๑ - วันที่ ๓๑ ธ.ค.๔๑
ชายที่มีสัญชาติไทย เมื่อมีอายุย่างเข้า
๑๘ ปี (๑๗ ปีบริบูรณ์) ใน พ.ศ.ใด ให้ไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกิน(ไปขึ้นทะเบียนทหารกองเกิน)
ณ อำเภอท้องที่ที่เป็นภูมิลำเนาทหารของเตน ภายใน พ.ศ.นั้น(ตั้งแต่ ๑ ม.ค.- ๓๑
ธ.ค.) เช่น เกิด พ.ศ.๒๕๒๔ ต้องไปขึ้นทะเบียนทหารในพ.ศ.๒๕๔๑ ผู้ใด
ไม่สามารถไปขึ้นทะเบียนทหารกองเกินด้วยตนเองได้ต้องให้บุคคลซึ่งบรรลุนิติและเชื่อถือได้ไปแจ้งแทน(ปกติควรให้ผู้ปกครอง)
ถ้าไม่ไปแจ้งแทนในปีนั้นถือ
ว่าหลี่กเลี่ยงขัดขืนทางอำเภอแจ้งความดำเนินคดีมีโทษจำคุกไม่เกิน ๓ เดือน หรือปรับไม่เกิน
๓๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(ส่งให้พนักงานสอบสวน คือ ตำรวจ
เปรียบเทียบปรับไม่ได้ ต้องดำเนินคดีถึงชั้นศาล) เมื่อได้ลงบัญชีทหารกองเกินแล้ว
ให้ถือว่าเป็นทหารกองเกินตั้งแต่ วันที่ ๑ ม.ค. ของปีถัดไป
๑. การลงบัญชีทหารให้ปฏิบัติ ดังนี้
กรณีบิดาและมารดาสมรสกันตามกฎหมาย
ให้ถือภูมิลำเนาของบิดาเป็นหลักในการลงบัญชีทหารถ้าบิดาถึงแก่กรรมแล้ว
มารดายังมีชีวิตอยู่หรือถ้าทั้งบิดาและมารดาถึงแก่กรรมแล้ว
มีผู้ปกครองให้ถือลำเนาในการลงบัญชีทหารที่อำเภอท้องที่ที่มารดาหรือผู้
ปกครองมีภูมิลำเนาแล้วแต่กรณี
หรือถ้าบุคคลดังกล่าวถึงแก่กรรมหมดให้ลงบัญชีทหารที่อำเภอท้องที่ที่ผู้ขอลง
บัญชีทหารมีภูมิลำเนาอยู่
(ภูมิลำเนาคือการที่มีรายชื่อปรากฎอยู่ในทะเบียนบ้าน)
การขึ้นทะเบียนทหารกองเกิน
ผู้ขอยื่นใบแสดงตน เพื่อขึ้นทะเบียนทหารกองเกิน ต้องนำหลักฐานคือสูติบัตรหรือบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน
(ที่มีชื่อบิดา หรือมารดา) ต่อนายอำเภอท้องที่ เมื่อนายอำเภอท้องที่ได้ตรวจสอบหลักฐาน
เอกสารเห็นว่าถูกต้องแล้วจะรับลงบัญชีทหารและออกใบสำคัญทหารกองเกิน(แบบ สด.๙)ให้เป็นหลักฐาน
ตัวอย่าง
เช่น นาย ก. เกิด พ.ศ.๒๕๒๔ ให้ถือว่าอายุครบ ๑๗ ปี บริบูรณ์
และอายุย่าง ๑๘ ปี
ใน พ.ศ.๒๕๔๑ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย นาย ข. และ นาง ค. (นาย ข.
มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ นาง ค. มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี,
นาย ก.
มีภูมิลำเนาอยู่กับน้า) กรณีนี้ นาย ก.
จะต้องนำทะเบียนของตนพร้อมด้วยบัตรประจำตัวประชาชนไปแสดงขอลงบัญชีทหารที่
อำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของบิดากับต้องนำทะเบียน
บ้านของบิดาและมารดาไปแสดงด้วย เมื่อลงบัญชีทหารแล้วถือว่า นาย ก. มีภูมิลำเนาทหารอยู่ที่อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ ถ้านาย ข. เสียชีวิต นาย ก. จะต้องนำทะเบียนบ้านบัตรประจำตัวประชาชนของตนกับมรณบัตรของนาย
ข. และทะเบียนของ นาง ค. ไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารที่อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ถ้า
นาย ข. และ นาง ค. หย่าขาดจากกัน นาย ก. อยู่กับมารดาที่อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
หรืออยู่กับน้าที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานครก็ตาม กรณีนี้ นาย ก. จะต้องไปลงบัญชี
ณ อำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของบิดา ถ้าไม่สะดวกที่จะไปลงบัญชีทหารด้วยตนเอง
จะให้บิดาแจ้งการลงบัญชี
ทหารแทนก็ได้ต้องใกล้กระชั้นวันหมดเขตการลงบัญชีทหาร โดยส่งสำเนาทะเบียนบ้านของตน และของมารดา
อีกทั้งบัตรประจำตัวประชาชนของตน
พร้อมกับแจ้งตำหนิ แผลเป็นเหนือเอวขึ้นไปที่เห็นได้ง่ายและชัดเจน ซึ่งต่อไปจะไม่สูญหาย
เช่น "แผลเป็นที่แก้มขวา" เพื่อให้บิดาดำเนินการแจ้งลงบัญชี
ทหารแทน เสร็จแล้วบิดาจะส่งเอกสารดังกล่าวพร้อมกับใบสำคัญ (แบบ สด.๙) ให้แก่
นาย ก. ไว้เป็นหลักฐานต่อมาถ้า นาย ก. ประสงค์จะตรวจเลือก
ทหารที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานครก็กระทำได้ โดยแจ้งย้ายภูมิลำเนาทหารมาอยู่ที่เขตดุสิต
การแจ้งไม่ต้องไปแจ้งที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่แต่อย่างใด คงแจ้งที่เขตดุสิตแห่งเดียวกล่าวคือ
เพียงแต่นำใบสำคัญ (แบบ สด.๙) ไปขอแจ้งย้ายภูมิลำเนาทหารที่เขตดุสิต(สัสดีเขตดุสิตเป็นผู้ดำเนินการให้)ถ้า
นาย ข.และ นาง ค. เสียชีวิตทั้งสองคนและมีน้าเป็นผู้ปกครองกรณีนี้ นาย ก. จะต้องนำหลักฐานดังกล่าวแล้วข้างต้น
ไปลลบัญชีทหารที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็น
ภูมิลำเนาขงน้าถ้า นาย ก. เกิตนอกสมรสและบิดามิได้จดทะเบียนรองรับบุตรหรือถ้ามารดาเสีงชียวแล้วมีผูกปกรอง
ให้ลงบัญชีทหารที่อำเภอท้องที่ที่มารดา หรือผู้ปกครอง มีภูมิลำเนาแล้วแต่กรณี แต่ถ้าไม่มีบุคคลดังกล่าว
(บิดา มารดา ผู้ปกครอง)ให้ลงบัญชีทหารที่อำเภอท้องที่ที่นาย ก. มีภูมิลำเนาอยู่เนื่องจากทาง
ราชการได้ให้ระยะเวลาในการลงบัญชีทหารไว้ตั้งแต่มกราคม ถึง ธันวาคม ในปีที่มีอายุย่างง
๑๘ ปี และในเดือนกันยายน ของทุกปี ทางอำเภอจะประกาศเตือน
ให้ผู้ที่ยังมิได้ ลงบัญชีทหารให้ไปลงบัญชีทหารให้เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กำหนดด้วย
ประกาศเช่นว่านี้จะปิดไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการกำนัน ที่ทำการ
ผู้ใหญ่บ้านและที่เปิดเผยตามชุมชน ในท้องที่นั้นกับนายอำเภอจะส่งประกาศให้กำนันผู้ใหญ่บ้าน
เพื่อนำไปแจ้งให้ราษฎรในท้องที่ของตนทราบด้วย ถ้าผู้ใด
ไม่ไปลงบัญชีทหารกองเกินภายในกำหนด จะถูกดำเนินคดีอาญาฐานหลีกเลี่ยงขัดขืน
มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่ถ้าทางอำเภอได้ส่งรายชื่อไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
๓ เดือนหรือปรับไม่เกิน
สามร้อยบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ
๒. การลงบัญชีทหารกองเกินแทน ผู้ใดมีความจำเป็นไม่สามารถไปลงบัญชีทหารด้วยตนเองได้ต้อง
ให้บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะและเชื่อถือได้ไปแจ้ง
แทน โดยปกติจะเป็นบิดา มารดา หรือพี่ ซึ่งจะต้องเป็นกรณีที่กระชั้นวันหมดเขตระยะเวลาลงบัญชี(ประมาณเดือนธันวาคม)
โดยมีความจำเป็นดังนี้
๒.๑
ป่วย
๒.๒
ไปอยู่ต่างประเทศยังไม่มีกำหนดกลับ หรือมีกำหนดกลับ หรือ มีกำหนดกลับแต่วันที่จะกลับเลยกำหนดเวลาการรลงบัญชีทหารกองเกินแล้ว
๒.๓
ไปศึกษาต่างท้องที่ไม่สามารถจะกลับไปได้เพราะติดการสอบไล่
บุคคลซึ่งยังมิได้ลงบัญชีทหารกองเกินตามระยะเวลาที่กำหนด
ถ้าอายุยังไม่ถึง ๔๖ ปีบริบูรณ์ก็ต้องไปลงบัญชีทหารทุกคนตามกฏหมาย จะให้ผู้อื่น
แจ้งแทนไมได้
ต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารด้วยตนเองเพราะมีความผิดปกติขึ้นแล้ เมื่อได้
ลงบัญชีทหารกองเกิอแล้วทางอำเภอจะออกใบสำคัญ(แบบ สด.๙)
ให้ไว้เป็นหลักฐานต่อไป เมื่อมีประสงค์จะย้ายภูมิลำเนาทหาร ก็ย่อมทำได้ โดยแจ้งต่อนายอำเภอ
(สัสดีอำเภอ) ท้องที่ที่ตนเองเข้ามาอยู่นั้น (โดยไม่ต้องแจ้งย้าย
ที่อำเภอเดิม) การแจ้งย้ายภูมิลำเนาทหารให้กระทำภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ย่ายทะเบียนเข้ามาอยู่ในท้องที่ใหม่โดยนำใบสำคัญ(แบบ
สด.๙) หรือหนังสือสำคัญ (แบบ สด.๘) กับทะเบียนบ้านไปประกอบหลักฐานการแจ้งย้ายภูมิลำเนาทหารด้วย
อนึ่ง
ถ้าได้รับในอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อตัว หรือชื่อสกุล ให้นำหลักฐานการเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อสกุล
พร้อมก้บใบสำคัญ (แบบ สด.๙) หรือ หนังสือสำคัญ
(แบบ สด.๘) ไปแจ้งต่อนายอำเภอท้องที่ที่เป็นภูมิลำเนาทหาร ภายใน ๓๐
วันนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตเพื่อแก้หลักฐานให้ถูกต้อง เมื่อได้ขึ้น
ทะเบียนทหาร
กองเกินแล้ว ถือว่าผู้นั้นมีภูมิลำเนาทหารอยู่ในอำเภอที่ได้ขึ้นทะเบียนทหารกองเกิน
อธิบายศัพท์
- ภูมิลำเนาทหาร
หมายความว่า อำเภอท้องที่ที่บุคคลนั้นได้แจ้งการลงบัญชีทหารกองเกินไว้ที่อำเภอแล้ว
และบุคคลจะมีภูมิลำเนาทหารได้ เพืยงแห่งเดียวเท่านั้น
- หทารกองเกิน
หมายความว่า ผู้ซึ่งมีอายุตั้งแต่สิบแปดปีบริบูรณ์และยังไม่ถึงสามสิบปีบริบูรณ์และยังไม่ถึงสามสิบปีบริบูรณ์
ซึ่งได้ลงบัญชีทหารกองเกิน (ขึ้นทะเบียนทหาร) แล้ว
ทหารกองเกินทุกคนเมื่อมีอายุย่างเข้า
๒๑ (อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์) ใน พ.ศ. ใด ต้องไปแสดงตนเพื่อรับหมายเกณฑ์ที่อำเภอท้องที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาทหาร
ของตน ภายใน พ.ศ.นั้น เช่น ทหารกองเกินเกิด พ.ศ.๒๕๒๑ ให้ไปแสดงตนรับหมายเกณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่
๑ มกราคม ๒๕๔๑ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาม ๒๕๔๑ ในเวลาราชการ เมื่อรับหมายเกณฑ์แล้ว
จะต้องไปรับการตรวจเลือก (เกณฑ์) ในเดือนเมษายน ๒๕๔๒ ตามวัน เวลาและสถานที่ทีกำหนดไว้ในหมายเกณฑ์
หากไม่ไปจะถูกดำเนินคดีฐานหลีกเลี่ยงขัดขืน มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
๓ ปี
๑.
การออหมายเกณฑ์ หมายเกณฑ์นายอำเภอจะออกเฉพาะผู้ที่ได้ลงบัญชีเป็นทหารกองเกินแล้ว
คือ
๑.๑ ผู้ที่มีอายุ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ในปีที่จะเข้ากองประจำการ
๑.๒ ผู้ที่มีอายุ ๒๒-๒๙ ปีบริบูรณ์ ซึ่งต้องไม่เคยเข้าตรวจเลือก(เกณฑ์ทหาร) หรือเป็นคนหลีกเลี่ยง
ไม่มารับการเกณฑ์ในปีก่อน ๆ(ศาลตัดสินลง
โทษแล้ว) หรือพ้นจากฐานะการยกเว้น หรือผ่อนผัน
หรือได้รับการผ่อนผันเนื่องจากเป็นนิสิต
นักศึกษา นักเรียน หรือผู้ที่จำเป็นต้องหาเลี้ยงบิดาหรือมารดา หรือบุตร
หรือคณะกรรมการตรวจเลือกมีความเห็นว่าป่วยรักษาไม่หายภายใน
๓๐ วัน ในปีที่ผ่านมา
๒. การรับหมายเกณฑ์แทน ผู้ใดไม่สามารถจะไปรับหมายเรียกตนเองได้ ต้องให้บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะและเชื่อถือได้ไปรับหมายเกณฑ์แทน
ถ้าไม่มี
ให้ถือว่า ผู้นั้นหลีกเลี่ยงขัดขืน การรับแทนจะต้องเป็นกรณีใกล้วันหมดเขตรับหมายเกณฑ์(ประมาณเดือนธันวาคม)
โดยมีความจำเป็น ดังนี้
๒.๑ ป่วย
๒.๒ ไปอยู่ต่างประเทศยังไม่มีกำหนดกลับ หรือมีกำหนดกลับแต่วันที่จะกลับนั้นเลยกำหนดเวลาการรับหมายเกณฑ์แล้ว
๒.๓ ไปศึกษาต่างท้องที่ ไม่สามารถจะกลับไปได้เพราะติดการสอบไล่
การที่จะให้รับหมายเกณฑ์แทนหรือไม่นั้นอยู่ในดุลพินิจของนายอำเภอการรับหมายเกณฑ์แทน
จะต้องมีหนังสือมอบหมายหรือมอบฉันทะของทหาร
กองเกินผู้นั้นถึงนายอำเภอโดยผู้รับแทนนำมาแสดง แล้วให้สัสดีอำเภอลงทะเบียนรับหนังสือ
และให้ทางอำเภอทำการสอบสวนปากคำผู้รับแทนนั้นไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งผู้รับแทนจะต้องให้คำรับรองในการสอบสวนว่า
จะมอบหมายเกณฑ์ที่รับไปนั้นนำไปมอบให้แก่ทหารกองเกินผู้นั้น พร้อมกับแจ้งวันเวลาและสถานที่เกณฑ์
ทหารให้ทราบ แล้วเสนอนายอำเภอ ขออนุมัติก่อนมอบหมายเกณฑ์ให้รับไป ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้
ทหารกองเกินผู้นั้นอ้างว่าไม่ได้รับหมายเกณฑ์ในกรณีที่หลีก
เลี่ยงขัดขืน ไม่ไปเข้ารับการเกณฑ์ทหาร
๓. การจัดทำประกาศ ในเดือนตุลาคมทุกปี ทางอำเภอจะจัดทำประกาศให้ทหารกองเกินที่มีอายุย่างเข้า
๒๑ ปี ใน พ.ศ. นั้นไปแสดงตนเพื่อรับหมาย
เกณฑ์ที่ อำเภอ ประกาศเช่นว่านี้จะปิดไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการกำนัน ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน
และที่เปิดเผยตามชุมชนในท้องที่นั้น กับนายอำเภอจะส่งประกาศ
ให้กำนัน ผู้ใหญ้บ้านเพื่อนำไปแจ้งให้ราษฎรในท้องที่ของตนทราบด้วย
ถ้าผู้ใดไม่ไปรับหมายเกณฑ์ตามกำหนดจะถูกดำเนินคดีอาญาฐานหลีกเลี่ยงขัดขืน
มีความ
ผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับแต่ถ้าทางอำเภอได้ส่งรายชื่อไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตาม
จับกุมตัว
มาดำเนินคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
"บุคคลซึ่งจะเข้ารับราชการทหารกองประจำการนั้นต้องมีขนาดรอบตัว
ตั้งแต่เจ็ดสิบหกเซนติเมตรขึ้นไปในเวลาหายใจออกและสูงตั้งแต่หนึ่งเมตรสี่
สิบ
เซนติเมตรขึ้นไปถ้าขนาดสูงหรือขนาดรอบตัวอย่างใดอย่างหนึ่งต่ำกว่ากำหนดนี้
ให้ถือว่าเป็นคนไม่ได้ขนาดจะส่งเข้ากองประจำการไม่ได้"
การตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการหรือที่รู้จักกันดีคือการเกณฑ์ทหารนั้นตามปกติกระทรวงกลาโหม
ได้กำหนดไว้ในเดือน
เมษายน(วันที่ ๑เมษายน ถึงวันที่ ๑๑ เมษายน ของทุกปี)
ดังนั้นทหารกองเกินเมื่อได้รับหมายเรียกแล้วจะต้องไปเข้ารับการตรวจเลือกตาม
วัน
เวลา
และสถานที่ที่กำหนดในหมายเรียก ทั้งนี้ โดยนำหลักฐานต่างๆ ได้แก่
ใบสำคัญทหารกองเกิน (แบบ สด.๙), หมายเรียก(แบบ สด.๓๕.)
,บัตรประจำตัวประชาชน,
ประกาศนียบัตร หรือหลักฐานทางการศึกษา
ไปแสดงด้วยหากทหารกองเกินผู้ใดไม่ไปถือว่าหลีกเลี่ยงขัดขืนมีความผิดต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกิน๓
ปี และในวันตรวจเลือกนั้น ผู้เข้ารับการตรวจเลือกทุกคน
จะได้รับใบรับรองผลการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำ
การ(แบบ
สด.๔๓) หรือที่รู้จักกันคือ ใบผ่านการเกณฑ์ทหารนั่นเอง
ก่อนที่จะทราบถึงวิธีการในตรวจเลือก
ควรจะได้ทำความเข้าใจว่าในวันตรวจมีใครบ้างเป็นเจ้าหน้าที่ทำการตรวจเลือก และมีหน้าที่อย่างไรบ้างเสียก่อน
สำหรับในวันตรวจเลือกนั้นจะมีคณะกรรมการตรวจเลือก ซึ่งมีหน้าที่ทำการตรวจเลือกให้เป็นไปอย่างยุติธรรม
๑. คณะกรรมการตรวจเลือกประกอบด้วย
๑.๑ นายทหารสัญญาบัตรซึ่งมียศไม่ต่ำกว่าพันโทหนึ่งคนเป็น
ประธานกรรมการมีหน้าที่อำนวยการและควบคุมการตรวจเลือกให้ดำเนินไปด้วยความ
เรียบร้อย และออกเสียงชี้ขาดในกรณีที่เป็นปัญหาในทางปฏิบัติเมื่อคณะกรรมการตรวจเลือกไม่อาจตกลงกันโดยเสียงข้างมากได้
กับมีหน้าที่ตรวจสอบ
การปล่อยตัวทหารกองเกินพร้อมมอบใบรับรองผลการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ(แบบสด.๔๓)
๑.๒
นายทหารสัญญาบัตรซึ่งมียศหรือเทียบเท่าไม่สูงกว่าประธานกรรมการไม่เกินสองคนเป็นกรรการมีหน้าที่
ดังนี้
๑.๒.๑
กรรมการนายทหารสัญญาบัตร (คนที่ ๑ ) มีหน้าที่เรียกชื่อทหารกองเกินซึ่งถูกเรียกมาตรวจเลือกจัดดูแลทหารกองเกินซึ่งตรวจเลือก
แล้ว ให้อยู่รวมเป็นจำพวก
ป้องกันมิให้ทหารกองเกินซึงตรวจเลือกแล้วปะปนกับทหารกองเกินซึ่งยังมิได้
ตรวจเลือกและรับทหารกองเกินซึ่งคณะกรรมการ
ตรวจเลือก กำหนดให้เข้าประจำการ เพื่อนำตัวไปขึ้นทะเบียนหรือนำตัวส่งนายอำเภอเพื่อออกหมายนัดเข้ารับราชการทหาร
๑.๒.๒
กรรมการนายทหารสัญญาบัตร (คนที่ ๒) มีหน้าที่วัดขนาดเก็บยอดเป็นจำพวกตรวจสอบสลากควบคุมการทำสลาก
และอ่านสลาก
ในระหว่างการจับสลาก
๑.๓
สัสดีจังหวัดหรือผู้แทนหนึ่งคน ซึ่งมิได้ประจำอยู่ในท้องที่ตรวจเลือกนั้นเป็นกรรมการมีหน้าที่บันทึกผลการตรวจเลือก
ในบัญชีเรียกฯ
(แบบ สด.๑๖)รับเรื่องราวร้องขอในเหตุต่าง ๆ ซึ่งนายอำเภอได้สอบสวนแล้ว เตรียมทำสลาก
บันทึกผลการจับสลากขึ้นทะเบียน และทำบัญชีคนที่ส่ง
เข้ากองประจำการ
๑.๔
นายทหารสัญญาบัตรซึ่งเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันชั้น ๑ สาขาเวชกรรมหนึ่งคนหรือหลายคนเป็นกรรมการมีหน้าที่ตรวจร่างกาย
ผู้ที่ถูกเรียกมาตราเลือกและออกใบสำคัญให้แก่คนจำพวกที่ ๓ และคนจำพวกที่ ๔
รวมทั้งควบคุมการจับสลากเมื่อได้ทราบถึงว่าใครเป็นเจ้าหน้าที่ในการ
ตรวจเลือก และมีหน้าที่อย่างใดแล้วต่อไปจะได้กล่าวถึงวิธีการและขั้นตอนในการตรวจเลือกต่อไป
๒. ขั้นตอนการตรวจเลือกในการเลือกนั้น
จะแบ่งออกเป็น ๒ ขั้นตอน ดังนี้
๒.๑ ขั้นตอนที่หนึ่ง เมื่อทหารกองเกินมาณ
สถานที่ตรวจเลือกให้เข้าแถวรวมอยู่ตามป้ายตำบลที่ปักไว้ครั้นถึงเวลา
๐๗.๐๐น. จะมีพิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา
โดยประธานกรรมการนำคณะกรรมการตรวจเลือกและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดมาเข้าแถวณ
หลังเสาธง จัดให้มีเจ้าหน้าที่เชิญธงชาติ
เมื่อธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาแล้วประธานกรรมการจะกล่าวถึงความสำคัญในการเข้ารับ
ราชการทหารเพื่อชี้แจงให้ทหารกองเกินได้ตระหนักถึงความสำคัญ
ในการรับราชการทหาร
เพื่อชี้แจงให้ทหารกองเกินได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการรับราชการทหารผลเสีย
หายในการหลีกเลี่ยงขัดขืน
ต่อจากนั้น
กรรมการสัสดีจังหวัดจะชี้แจงวิธีปฏิบัติในการร้องขอเข้ากองประจำ
การ(สมัคร)รวมทั้งการยกเว้นผ่อนผันตลอดจนการขอสิทธิลดวันรับราชการและเหตุ
ต่าง
ๆ ที่ควรทราบต่อจากนั้นจะเริ่มทำการตรวจเลือก ดังนี้
๒.๑.๑
เจ้าหน้าที่โต๊ะที่ ๑ มีหน้าที่เรียกชื่อตรวจบัตรประจำตัวประชาชนและหมายเรียกเพื่อมิให้เปลี่ยนตัวและผิดคน
๒.๑.๒
เจ้าหน้าที่โต๊ะที่ ๒ มีหน้าที่ตรวจร่างกายและแบ่งคนเป็นจำพวกกล่าวคือเมื่อตรวจร่างกายแล้ว
จะแบ่งคนออกเป็น ๔ จำพวก คือ
๒.๑.๒.๑
จำพวกที่ ๑ ได้แก่ คนซึ่งร่างกายสมบูรณ์ดีไม่มีอวัยวะพิการหรือผิดส่วนแต่อย่างใด
๒.๑.๒.๒
จำพวกที่ ๒ได้แต่ คนซึ่งมีร่างกายที่เห็นได้ชัดว่าไม่สมบูรณ์ดีเหมือนคนจำพวกที่
๑ แต่ไม่ถึงกับทุพพลภายตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๑๗)ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร
พ.ศ.๒๔๙๗ เช่น ตาเหล่อ ช่องหูมีหนองเรื้อรังและทั้งแก้วหูทะเลคอพอก มือหรือแขนลีบหรือบิดเก
ไส้เลื่อนลงถุง ฯลฯ
๒.๑.๒.๓
จำพวกที่ ๓ ได้แก่ คนซึ่งมีร่างกายยังไม่แข็งแรงพอที่จะรับราชการทหารทหารในขณะนั้นได้เพราะป่วย ซึ่งจะบำบัดให้หาย
ไม่ได้ภายในกำหนด ๓๐ วัน กรณีนี้ให้เรียกมาตรวจเลือกในคราวถัดไปเมื่อคณะกรรมการตรวจเลือกได้ตรวจเลือกแล้วยังคงเป็นคนจำพวกที่
๓ อยู่รวม ๓ ครั้ง ให้งดเรียก (การนับครั้งจะนับครั้งให้เฉพาะที่ได้ตัวมาตรวจเลือกถ้าตัวไม่มาตรวจเลือกไม่นับนครั้งให้)
๒.๑.๒.๔
จำพวกที่ ๔ ได้แก่ คนพิการทุพพลภาพ หรือมีโรคซึ่งไม่สามารถรับราชการได้ตามกฎกระทรวงฉบับที่๗๔
(พ.ศ.๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗ เช่น ต้อหินหูหนวกทั้งสองข้าง
ลิ้นหัวใจพิการ หืด เบาหวาน กระเทย โรคจิต ใบ้ คนเผือกฯลฯ (ปลดพ้นราชการทหารประเภทที่
๒ ตามกฎหมาย) เมื่อตรวจร่างกายกำหนดคนเป็นจำพวกแล้ว คบจำพวกที่
๑ เจ้าหน้าที่จะนำตัวไปยังโต๊ะที่๓ เพื่อทำการวัดขนาด
ส่วนคนจำพวกที่ ๒, ๓ และ ๔ ให้ไปรอที่โต๊ะที่ ๓ เพื่อทำการวัดขนาดส่วนคนจำพวกที่
๒, ๓ และ ๔ ให้ไปรอที่โต๊ะประธานกรรมการเพื่อตรวจสอบปล่อยตัว
๒.๑.๓
เจ้าหน้าที่โต๊ะที่ ๓ มีหน้าที่ วัดขนาด โดยกระทำ ดังนี้
ให้ผู้ที่เข้ารับการตรวจเลือกยืนตั้งตัวตรงส้นเท้าชิดกันขนาดสูงให้วัด
ตั้งแต่ตรง
ส้นเท้าจนสุดศีรษะ
ขนาดรอบตัวให้คล้องแถบเมตรรอยตัวให้ริมล่างของแถลงได้ระดับราวนมโดยรอบวัด
เมื่อหายใจออกเต็มที่หนึ่งครั้งและหายใจเข้าเต็ม
ที่หนึ่งครั้ง เมื่อวัดขนาดแล้วจะแบ่งทหารกองเกินเป็น
๓ กลุ่มดังนี้
๒.๑.๓.๑
กลุ่มที่ ๑ เรียกว่า คนได้ขนาดคือ มีขนาดสูงตั้งแต่ ๑ เมตร๖๐ เซนติเมตร ขึ้นไป
และมีขนาดรอบตัวตั้งแต่ ๗๖ เซนติเมตรขึ้นไป
๒.๑.๓.๒ กลุ่มที่ ๒ เรียกว่า คนขนาดถัดรอง คือ มีขนาดสูงตั้งแต่ ๑เมตร ๕๙ เซนติเมตร
ลงมาถึง ๑ เมตร ๔๖ เซนติเมตร และมีขนาด
รอบตัวตั้งแต่ ๗๖ เซนติเมตรขึ้นไป คนขนาดถัดรองนี้ หากมีคนขนาดสูงกว่าและได้ขนาดพอ
(คนได้ขนาด)คณะกรรมการตรวจเลือกจะคัดออก ปล่อยตัวไป
โดยไม่ต้องจับสลาก
๒.๑.๓.๓
กลุ่มที่ ๓ เรียกว่า คนไม่ได้ขนาดคือ มีขนาดสูงไม่ถึง ๑ เมตร๔๖ เซนติเมตร หรือขนาดรอบตัวไม่ถึง
๗๖ เซนติเมตร
อย่างใดอย่างหนึ่ง คนไม่ได้ขนาดนี้คณะกรรมการตรวจเลือกจะคัดออก
ปล่อยตัวไปโดยไม่ต้องจับสลากแต่อย่างใด เมื่อได้วัดขนาดและแบ่งคนเป็นกลุ่มต่าง
ๆ
แล้ว ต่อไปก็จะเป็นวิธีการคัดเลือกผู้ที่จะต้องจับสลาก(แดง- เป็นทหาร , ดำ
- ปล่อย) ต่อไป วิธีคัดเลือกนั้นผู้ซึ่งอยู่ในข่ายที่จะส่งเข้าเป็นทหารได้คือคนจำพวก
ที่ ๑ , คนจำพวกที่ ๒ และคนผ่อนผัน ที่มีขนาดสูงตั้งแต่ ๑ เมตร ๔๖เซนติเมตร
และมีขนาดรอบตัว ๗๖ เซนติเมตร ขึ้นไป โดยมีวิธีคัดเลือกดังนี้
ก.
เลือกคำจำพวกที่ ๑ ซี่งมีขนาดสูงตั้งแต่ ๑ เมตร ๖๐ เซนติเมตร ขึ้นไปก่อนถ้ามีจำนวนมากกว่าที่ทางราชการต้องการ
ก็ให้จับสลาก
ข.
ถ้าคนจำพวกที่ ๑ ซึ่งมีขนาดสูงตั้งแต่ ๑ เมตร ๖๐ เซนติเมตร ขึ้นไป มีไม่พอกับจำนวนที่ทางราชการต้องการก็ให้เลือกคนที่มีขนาด
สูงถัดรองลงมา (๑๕๙ ซม., ๑๕๘ ซม.) ตามลำดับจนพอกับจำนวนที่ต้องการ
ค.
ถ้าคนจำพวกที่ ๑ (คนที่มีขนาดสูง ๑ เมตร ๖๐ เซนติเมตร ขึ้นไป และคนขนาดถัดรอง)มีไม่พอกับจำนวนที่ต้องการก็ให้เลือก
คนจำพวกที่ ๒ ถ้ายังไม่พออีก ก็ให้เลือกจากคนที่จะได้รับการผ่อนผัน
๒.๑.๔ โต๊ะประธานกรรมการ มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องปล่อยตัวคนจำพวกที่๔
, ๓ คนไม่ได้ขนาด , คนผ่อนผัน , คนจำพวกที่ ๒ คนขนาดถัดรอง (ถ้ามีคนได้ขนาดพอ)และคนได้ขนาด
(กรณีที่มีคนร้องขอหรือสมัครเป็นทหารพอกับจำนวนที่ต้องการแล้วไม่ต้องจับสลาก)
พร้อมกับมอบ
ใบรับรองผลการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ(แบบ สด.๔๓
ให้รับไปในวันตรวจเลือก)
๒.๒
ขั้นตอนที่สองซึ่งได้แก่การจับสลากซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญในขั้นตอนนี้เจ้าหน้าที่จะเรียกชื่อคำจำพวกที่
๑ ซึ่งอยู่ในข่ายที่จะต้องจับสลาก
(คัดเลือกแล้ว) มารวมเป็นตำบล ๆ
เพื่อดำเนินการจับสลากโดยมีสลากสีแดงและสลากสีดำรวมกันเท่ากับคนที่ตองจับ
สลากสลากสีแดงให้มีเท่ากับจำนวนคน
ที่ต้องส่งเข้ากองประจำการ โดยหักคนหลีกเลี่ยงขัดขืนและคนร้องขอเข้ากองประจำการ(สมัคร)
ออก นอกนั้นเหลือเป็นสลากสีดำ การที่จะกำหนดให้ตำบล
ใดจับสลากก่อนหลังนั้น จะกระทำโดยวิธีให้ผู้แทนของแต่ละตำบลซึ่งอาจจะเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้าน
เทศมนตรี หรือผู้แทนทหารกองเกินของตำบลนั้น ๆ มาจัดสลากผู้ที่จับสลากดำประธานกรรมการ ตรวจเลือกจะมอบใบรับรองผลการตรวจเลือกฯ
(แบบ สด.๔๓) ให้รับไปในวันตรวจเลือกและปล่อยตัวไป
ผู้ที่จับสลากแดง ประธานกรรมการตรวจเลือกจะมอบใบรับรองผลการตรวจเลือกฯ
(แบบ สด.๔๓) ให้รับไปในวันตรวจเลือกและนำตัวรับราชการทหาร
(แบบ สด.๔๐) จากเจ้าหน้าที่ของอำเภอเพื่อให้ไปรายงานตัวเข้ารับราชการกองประจำการตามกำหนดในหมายนัดของนายอำเภอต่อไป
๒.๓
สำหรับผู้ที่จับสลากแดงโดยปกติจะต้องเป็นทหารมี กำหนด ๒ปีแต่ถ้าเป็นผู้มีคุณวุฒิพิเศษแล้วกฎหมายยังเปิดโอกาสให้สิทธิในการลดวัน
รับราชการได้ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๒๔(พ.ศ.๒๕๐๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร
พ.ศ.๒๔๙๗ ทั้งนี้การขอสิทธิลดวันรับ
ราชการทหารต้องนำหลักฐานแสดงคุณวุฒิพิเศษไปยื่นต่อคณะกรรมการตรวจเลือกในวันตรวจเลือกโดยทำคำร้องไว้
พร้อมทั้งขอใบรับหลักฐานจาก
เจ้าหน้าที่ด้วยผู้ที่อยู่ในกองประจำการน้อยกว่า ๒ ปี ตามกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๐๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร
พ.ศ.๒๔๙๗
ประเภท
|
ร้องขอ ฯ (สมัคร)
|
ไม่ร้องขอฯ (จับได้ใบแดง)
|
ข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร
|
๖ เดือน
|
๑ ปี
|
ข้าราชการตุลาการ
|
๖ เดือน
|
๑ ปี
|
ดาโต๊ะยุติธรรม
|
๖ เดือน
|
๑ ปี
|
ข้าราชการฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นข้าราชการธุรการ
|
๑ ปี
|
๑ ปี
|
และรับเงินเดือนประจำตั้งแต่ชั้นตรีหรือเทียบเท่าขึ้นไป
|
๖ เดือน
|
๑ ปี
|
ข้าราชการอัยการ
|
๖ เดือน
|
๑ ปี
|
ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับเงินเดือนประจำ
|
๑ ปี
|
๑ ปี
|
ตั้งแต่ชั้นตรีหรือเทียบเท่าขึ้นไป
|
๖ เดือน
|
๑ ปี
|
พนักงานเทศบาลซึ่งรับเงินเดือนประจำ
|
๑ ปี
|
๑ ปี
|
ตั้งแต่ชั้นตรีหรือเทียบเท่าขึ้นไป
|
๖ เดือน
|
๑ ปี
|
ผู้สำเร็จชั้นอุดมศึกษาหรือผู้สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ
|
๑ ปี
|
๑ ปี
|
ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะเทียบได้ไม่ต่ำกว่าชั้น
|
๑ ปี
|
๑ ปี
|
อุดมศึกษา(ปวท.,ปวส.,อนุ ฯ , ฯลฯ)
|
๖ เดือน
|
๑ ปี
|
ผู้สำเร็จชั้นเตรียมอุดมศึกษาปีที่ ๒ หรือผู้ซึ่ง
|
๑ ปี
|
๑ ปี
|
กระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะเทียบได้ไม่ต่ำกว่า
|
๑ ปี
|
๑ ปี
|
ชั้นที่กล่าวนั้น (ม.๘, ม.ศ.๕, ม.๖, ปวช., ฯลฯ)
|
๑ ปี
|
๒ ปี
|
ผู้ที่สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ ๑
|
๑ ปี
|
๑ ปี ๖ เดือน
|
ผู้ที่สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ ๒
|
๖ เดือน
|
๑ ปี
|
ผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่๓
ขึ้นไป ขึ้นไป ให้ขึ้นทะเบียนกองประจำการแล้วปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่๑โดยมิต้องเข้ารับราชการ
ในกองประจำการแต่อย่างใด
๒.๔
คณะกรรมการชั้นสูง
อนึ่ง ผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็นทหาร
(จับได้ใบแดง) เห็นว่าคณะกรรมการตรวจเลือกตัดสินไม่ถูกหรือไม่ยุติธรรมให้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการชั้นสูง
ได้ทันที
โดยไม่ต้องผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นแต่ถ้าถึงกำหนดที่จะต้องไปเป็น
ทหารกองประจำการก็ให้เข้าเป็นทหารก่อนจนกว่าจะได้รับคำตัดสิน
(คณะกรรมการชั้นสูงประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้แทนหนึ่งคนเป็นประธาน,
เจ้าหน้าที่สัสดีซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าสัสดีจังหวัดหนึ่งคน และข้าราชการอื่นซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าหัวหน้าแผนก
หรือเทียบเท่าหนึ่งคนเป็นกรรมการ)
โดยปกติแล้วชายที่มีสัญชาติไทย
เมื่อมีอายุ ๒๑ ปีบริบูรณ์ในปีใดจะต้องไปเกณฑ์ทหารทุกคนแต่กฎหมายก็ยังเปิดโอกาสให้สิทธิแก่บุคคลบางประเภท
ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเกณฑ์ทหารเช่นบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร
พ.ศ.๒๕๘๗ โดยมีรายละเอียดสรุปพอเป็นสังเขปดังนี้
๑. ยกเว้นให้ทั้งในยามปกติและในยามสงคราม
(มาตรา ๑๓ )ได้แก่
๑.๑ พระภิกษุที่มีสมณศักดิ์หรือที่เป็นเปรียณและนักบวชในพระพุทธศาสนาแห่งนิกายจีนหรือญวนที่มีสมณศักดิ์
(ถ้าได้ลงบัญชีทหารกองเกินไว้
แล้วให้จำหน่ายออกจากบัญชีทหาร) แต่ถ้าลาสิกขาให้แจ้งด้วยตนเองต่อนายอำเภอท้องที่ที่ตนอยู่หรือทำการประจำภายใน
๓๐ วัน นับแต่วันที่ลาสิกขา หากแจ้งเกินกำหนดนี้จะถูกดำเนินคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน
หรือปรับไม่เกินสองร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและถ้าอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปีบริบูรณ์
ก็ต้องไปเข้ารับการตรวจเลือกด้วย
๑.๒ คนพิการทุพพลภาพ ซึ่งไม่สามารถเป็นทหารได้ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่
๗๔ (พ.ศ.๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
รับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๗๙ เช่น ต้อหิน หูหนวกทั้งสองข้างลิ้นหัวใจพิการ หืด เบาหวาน
โรคจิต ใบ้ คนเผือก ฯลฯ บุคคลประเภทนี้ต้องไปรับหมายเรียก ฯ ตามกำหนดและเข้ารับการตรวจเลือกตามกฎหมายเรียก
ฯ เมื่อคณะกรรมการตรวจเลือกเห็นว่ามีอาการโรคตามที่กำหนดในกฎหมายกระทรวงจริง
จะปลดเป็นพ้น
ราชการทหารประเภทที่ ๒ และทางจังหวัดจะออกใบสำคัญให้ไว้เป็นหลักฐาน
๑.๓ บุคคลซึ่งไม่มีคุณวุฒิที่จะเป็นทหารได้เฉพาะบางท้องที่ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๔๕ (พ.ศ.๒๕๑๘) ออกตามความในพระราช
บัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗ บุคคลประเภทนี้ได้แก่ ชนชาวเขาเผ่าต่าง
ๆ ในบางพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะไม่รู้หนังสือภาษาไทยอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีก็แตกต่างกันด้วยดังนั้น ทางราชการจึงไม่ประสงค์ที่จะให้บุคคลประเภทนี้เป็นทหาร
เช่น ชนชาวกระเหรี่ยง บ้านแม่สอด หมู่ที่ ๔ ตำบลคลองลาน อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร
ฯลฯ
๒.
ยกเว้นให้เฉพาะในยามปกติเท่านั้น (มาตรา ๑๔ )ได้แก่
๒.๑ พระภิกษุ สามเณร และนักบวชในพระพุทธศาสนาแห่งนิกายจีนหรือญวน ซึ่งเป็นนักธรรมตามที่กระทรวงศึกษาธิการรับรอง
(ให้นำหลักฐาน
การสำเร็จนักธรรม ไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่สัสดีอำเภอหรือคณะกรรมการตรวจเลือกเพื่อดำเนินการยกเว้นให้
กรณีนี้ควรจะทำก่อนวันตรวจเลือกเพื่อดำเนิน
การยกเว้นให้กรณีนี้ควรจะทำก่อนวันตรวจเลือกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปในตรวจเลือกจะเป็นการสะดวกกว่า)
แต่ประจำอยู่ภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ลาสิกขา หากแจ้งเกินกำหนดนี้จะถูกดำเนินคดี
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และถ้าอายุไม่ถึง ๓๐ ปีบริบูรณ์ ก็ต้องไปเข้ารับการตรวจเลือกด้วย
๒.๒ นักบวชศาสนาอื่นซึ่งมีหน้าที่ประจำในกิจของศาสนาตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
และผู้ว่าราชการจังหวัดออกใบสำคัญให้ไว้ (กรณีนี้ให้ไป
ติดต่อขอยกเว้นต่อนายอำเภอท้องที่ ซึ่งสุเหร่า อาราม หรือสำนักตั้งอยู่เพื่อตรวจสอบหลักฐาน
เมื่อเห็นว่าถูกต้องจะดำเนินการยกเว้นให้แต่เมื่อพ้นจากฐานะประจำ
ในกิจของศาสนา ให้แจ้งด้วยตนเองต่อนายอำเภอท้องที่ที่ตนอยู่หรือทำการอยู่ภายใน
๓๐ วัน นับตั้งแต่วันที่พ้นจากฐานะเช่นนั้นหากแจ้งเกินกำหนดจะถูกดำเนินคดี
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินสองร้อยบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
และถ้าอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปี บริบูรณ์ ก็ต้องไปเข้ารับการตรวจเลือกด้วย
๒.๓
บุคคลซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรที่กระทรวงกลาโหมกำหนด
ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร(นศท.)
และนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหารของกระทรวงกลาโหม(กรณีนี้เจ้าตัวต้องประสาน
กับสถาบันการศึกษา
เพื่อดำเนินการของยกเว้น)
๒.๔ ครูซึ่งประจำทำการสอนหนังสือหรือวิชาการต่าง ๆ ที่อยู่ในความควบคุมของกระทรวง
ทบวง กรม หรือราชการส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ตามที่กำหนด
ในกฎหมายกระทรวง และผุ้ว่าราชการจังหวัดออกใบสำคัญให้ไว้(เจ้าตัวจะต้องประสานกับส่วนราชการต้นสังกัด
เพื่อดำเนินการขอยกเว้นให้)
๒.๕ นักศึกษาของศูนย์ฝึกการบินพลเรือนของกระทรวงคมนาคม (เจ้าตัวจะต้องประสานกับศูนย์ฝึก
ฯ เพื่อดำเนินการขอยกเว้นให้)
๒.๖ บุคคลซึ่งได้สัญชาติไทยโดยการแปลงชาติ
และบุคคลซึ่งได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหลายครั้งรวมกัน
ตั้งแต่สิบปีขึ้นไป
หรือเคยถูกศาลพิพากษาให้กักกัน
(กรณีนี้ให้นำหลักฐานการแปลงสัญชาติหรือหลักฐานการต้องโทษไปแสดงต่อเจ้า
หน้าที่สัสดีอำเภอ
เพื่อดำเนินการขอยกเว้นให้)
อธิบายศัพท์
- คนผ่อนผัน
คือ ทหารกองเกินที่อยู่ระหว่างการศึกษาในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย
หรือโรงเรียนอาชีวะ
และโรงเรียนประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญ ตามที่กำหนดในกฎหมาย
ซึ่งสถานศึกษาได้ส่งรายชื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นภูมิลำเนาทหารแล้ว
- คนหลีกเลี่ยงขัดขืน
คือ ทหารกองเกินที่รับหมายเรียกของนายอำเภอแล้วไม่มา ให้คณะกรรมการตรวจเลือกทำการตรวจเลือก
ซึ่งได้ตัวมาดำเนินคดี และศาลได้พิพากษาให้ลงโทษ
- คนที่ขาดการตรวจเลือกคือ
ทหารกองเกินที่รับหมายเรียกของนายอำเภอ และไม่มาให้คณะกรรมการตรวจเลือกทำการตรวจเลือก แต่ยังไม่ได้ตัว
มาดำเนินคดี หรืออยู่ในระหว่างดำเนินคดี
- คนยกเว้น
คือ ทหารกองเกินที่ได้รับการยกเว้นไม่เรียกมาตราจเลือกในยามปกติ เช่น
พระภิกษุนักธรรม ผู้ที่อยู่ระหว่างการฝึกวิชาการทหาร ฯลฯ
- คนจำพวที่
๑ ได้แก่ ทหารกองเกินซึ่งมีรายการสมบูรณ์ดี
- คนจำพวกที่
๒ได้แก่ คนซึ่งมีร่างกายที่เห็นได้ชัดว่าไม่สมบูรณ์ดีเหมือนคนจำพวกที่ ๑ แต่ไม่ถึงกับทุพพลภาพ
ตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ.๒๕๑๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร
พ.ศ.๒๔๙๗
- คนจำพวกที่
๓ ได้แก่ คนซึ่งมีร่างกายยังไม่แข็งแรงพอที่จะรับราชการทหารในขณะนั้นได้ เพราะป่วยซึ่งจะบำบัดให้หายภายในกำหนด
๓๐ วัน
ไม่ได้
- คนจำพวกที่
๔ ได้แก่ คนพิการทุพพลภาพ หรือมีโรคซึ่งไม่สามารถจะรับราชการได้ตามกฎกระทรวงฉบับที่
๗๔ (พ.ศ.๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗
- ขนาดรอบตัว คือ ความกว้างของรอบอกซึ่งมีวิธีวัดโดยให้คล้องแถบเมตรรอบตัว
ในลักษณะการแขนหรือยกแขนทั้งสองข้างขึ้นให้ริมล่างของ
แถมเมตรได้ระดับราวนมโดยรอบ และเมื่อได้ลดแขนลงในลักษณะท่าตรงแล้วให้วัดเมื่อหายใจออกเต็มที่หนึ่งครั้ง
และหายใจเข้าเต็มที่หนึ่งครั้ง
- ขนาดถัดรอง
คือ ผู้ที่มีขนาดสูงตั้งแต่ ๑ เมตร ๕๙ เซนติเมตร ลงมาถึง ๑ เมตร ๔๖ เซนติเมตร
และมีขนาดรอบตัวตั้งแต่ ๗๖ เซนติเมตรขึ้นไป ในเวลาหายใจออก
- คนไม่ได้ขนาด
คือ ผู้ที่มีขนาดสูงไม่ถึง
๑ เมตร ๔๖ เซนติเมตร หรือมีขนาดรอบตัวไม่ถึง ๗๖ เซนติเมตร
นอกจากทางราชการจะยกเว้นให้แก่บุคคลบางประเภทไม่ต้องไปเข้ารับราชการเกณฑ์ทหารแล้ว
ยังผ่อนผันให้แก่บุคคลบางประเภทเช่นกัน มีรายละเอียดดังนี้
๑. ผ่อนผันให้แก่บุคคลบางประเภทไม่ต้องไปตรวจเลือกเป็นการผ่อนผันให้เฉพาะคราว
(มาตรา ๒๗)ได้แก่
๑.๑
ข้าราชการซึ่งได้รับคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยปัจจุบันทันด่วนให้ไปราชการอันสำคัญยิ่ง
หรือไปราชการต่างประเทศโดยคำสั่งของเจ้า
กระทรวง
๑.๒
ข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ราชการหรือโรงงานอื่นใด ในระหว่างที่มีการรบหรือการสงคราม
อันเป็นอุปกรณ์ในการรบหรือการ
สงครามและอยู่ในความควบคุมของกระทรวงกลาโหม
๑.๓
บุคคลซึ่งกำลังปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยทหารในราชการสนาม
กรณีตามข้อ
๑.๑, ๑.๒, และ ๑.๓ เจ้าตัวที่ถูกเรียกจะต้องนำหมายเรียก ฯ
รายงานส่วนราชการต้นสังกัดที่เกี่ยวข้องทราบ
เพื่อส่งรายชื่อพร้อมหลักฐานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดภูมิลำเนาทหาร
ซึ่งจะได้สั่งผ่อนผันให้ตามระเบียบ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มอบอำนาจในการผ่อนผันการตรวจเลือกเข้ารับ
ราชการทหารให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัด
ปฎิบัติราชการแทน)
๑.๔
นักเรียนซึ่งออกไปศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศ
๑.๔.๑ ถ้าเป็นทุนของกระทรวง ทบวง กรม หรือ ส่วนราชการใด
โดยอยู่ในความประพฤติของผู้ดูแลนักเรียนไทย ของรัฐบาลไทยสำหรับประเทศ
นั้น ๆ สำนักงาน
ก.พ.จะเป็นผู้ดำเนินการผ่อนผันต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูมิลำเนาทหารให้ซึ่ง
ผู้ว่าราชการจังหวัดจะออกหนังสิอผ่อนผันการตรวจเลือกเข้ารับ
ราชการทหาร(แบบ สด.๔๑) ให้ไว้เป็นหลักฐานโดยมีเงื่อนไขว่า
"ถ้าต้องออกจากการศึกษากลับจากต่างประเทศมาถึงประเทศไทยก่อนกำหนด
หรือ ก.พ. ได้ขอถอนการผ่อนผัน การผ่อนผันเป็นอันยุติ"
กรณีนี้เจ้าตัวจะต้องแจ้งด้วยตนเองต่อนายอำเภอภูมิลำเนาทหารและถ้าอายุยัง
ไม่ถึง
๓๐ ปีบริบูรณ์จะต้อง
เข้ารับการตรวจเลือกด้วย
๑.๔.๒ ถ้าเป็นทุนส่วนตัว ต้องให้บิดาหรือมารดาหรือผู้ปกครอง
ยื่นคำร้องขอผ่อนผันต่อนายอำเภอภูมิลำเนาทหาร (อำเภอที่ได้ลงบัญชีทหาร
กองเกินไว้แล้ว) พร้อมด้วยหลักฐานดังนี้
๑.๔.๒.๑ หนังสือรับรองของสำนักศึกษา(ระบุว่าไปศึกษาวิชาอะไร
หลักสูตรกี่ปีให้แปลเป็นภาษาไทยกำกับ ลงชื่อ ตำแหน่งผู้แปลด้วย)
๑.๔.๒.๒ หนังสือรับรองของสถานทูต หรือ สถานกงสุล
หรือผู้ดูแลนักเรียนไทยในประเทศนั้น ๆ
๑.๔.๒.๓ สำเนาใบสำคัญ (แบบ สด.๙)
๑.๔.๒.๔ หมายเรียก ฯ (แบบ สด.๓๕) ถ้ามี
๑.๔.๒.๕ สำเนาทะเบียนบ้าน
เมื่อทางอำเภอสอบสวนและพิจารณาแล้วเห็นว่าอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการผ่อนผัน
ก็จะดำเนินการให้โดยส่งหลักฐานไปยังจังหวัดเมือผู้ว่า
ราชการจังหวัดพิจารณาแล้ว เห็นว่าอยู่ในหลักเกณฑ์ ก็จะออกหนังสือผ่อนผันการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหาร
(แบบ สด.๔๑) ให้ไว้เป็นหลักฐานโดย
มีเงื่อนไขว่า "ถ้าต้องออกจากการศึกษา กลับจากต่างประเทศ มาถึงประเทศไทยก่อนกำหนด
การผ่อนผันเป็นอันยุติ"กรณีนี้เจ้าตัวจะต้องแจ้งด้วยตนเองต่อ
นายอำเภอภูมิลำเนาทหารและถ้าอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปีบริบูรณ์ จะต้องเข้ารับการตรวจเลือกด้วย
๑.๕ เกิดเหตุสุดวิสัย
กรณีนี้ไม่มีการผ่อนผันล่วงหน้าแต่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นโดยแม้จะได้ระมัดระวังแล้วก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
เช่น ทหารกองเกินเดินทาง
ไปเข้ารับการตรวจเลือก ประสพอุบัติเหตุรถคว่ำหรือเรือล่มระหว่างเดินทาง จนไปเข้ารับการตรวจเลือกไม่ได้อย่างนี้
ก็ไม่ถือว่าหลีกเลี่ยงขัดขืน แต่การที่จะทราบ
ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่นั้นจะทราบได้ต่อเมื่อทางอำเภอได้ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว
๑.๖ ไปเข้าตรวจเลือกที่อื่น
ซึ่งต้องเข้าหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ คือ อายุ ๒๒-๒๙ ปีบริบูรณ์ถ้าได้รับหมายเรียกและไม่สามารถจะไปตามหมาย
นั้นได้เพราะไม่มีค่าพาหนะหรือจะไปไม่ทัน เมื่อนายอำเภอนั้นสอบสวนได้ความจริงก็จะรับเข้าตรวจเลือกตามระเบียบ
๑.๗ ป่วยไม่สามารถเข้ารับการตรวจเลือกได้
โดยให้บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะ และเชื่อถือได้มาแจ้งต่อคณะกรรมการตรวจเลือกในวันตรวจเลือก
กรณีนี้ต้องนำใบรับรองแพทย์ไปแสดงด้วย และเมื่อเสร็จการตรวจเลือกแล้ว ทางอำเภอจะเรียกตัวผู้ไปแจ้งสอบสวน
และสอบสวนตัวผู้ป่วยด้วย หากป่วยจริงก็ไม่ถือว่าหลีกเลี่ยงขัดขืน ทางอำเภอจะมอบหมายเรียกให้มาเข้ารับการตรวจเลือกในปีถัดไป
๒. ผ่อนผันให้แก่บุคคลบางประเภทในกรณีที่มีคนพอ
(มาตรา ๒๙)ได้แก่
๒.๑
บุคคลที่จำเป็นต้องหาเลี้ยงบิดาหรือมารดาซึ่งไร้ความสามารถ
หรือพิการทุพพลภาพ
หรือชราจนหาเลี้ยงชีพไม่ได้และไม่มีผู้อื่นเลี้ยงดู
แต่ถ้ามีบุตรหลายคนจะต้องเข้ากองประจำการพร้อมกันคงผ่อนผันให้คนเดียวตามแต่
บิดาหรือมารดาจะเลือก
ถ้าบิดาหรือมารดาไม่สามารถจะเลือกได้ก็
ให้คณะกรรมากรตรวจเลือกพิจารณาผ่อนผันให้หนึ่งคน
๒.๒
บุคคลที่จำเป็นต้องหาเลี้ยงบุตรซึ่งมารดาตาย หรือไร้ความสามารถ หรือพิการทุพพลภาพ
และบุคคลที่จำเป็นต้องหาเลี้ยงพี่หรือน้องร่วมบิดา
มารดา หรือร่วมแต่บิดาหรือมารดาซึ่งบิดามารดาตาย ทั้งนี้เมื่อบุตรหรือพี่น้องนั้นหาเลี้ยงชีพไม่ได้
และไม่มีผู้อื่นเลี่ยงดู
การผ่อนผันตามข้อ
๒.๑ และ ๒.๒ จะต้องร้องขอผ่อนผันต่อนายอำเภอท้องที่ก่อนวันตรวจเลือกทหารไม่น้อยกว่า
๓๐ วัน เพื่อนายอำเภอจะได้สอบสวนหลักฐานไว้ก่อนวันตรวจเลือก และต้องร้องขอต่อคณะกรรมการตรวจเลือกในวันตรวจเลือกอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อคณะกรรมการตรวจเลือกจะได้พิจารณา หากเห็นว่าอยู่ในหลักเกณฑ์ก็จะผ่อนผันให้
กรณีนี้เป็นการผ่อนผันเป็นปี ๆ ไป หากปีต่อไปยังมีความจำเป็นอยู่เช่นเดิม ก็ต้องขอผ่อนผันใหม่และปฏิบัติเช่นเดียวกับปีก่อน
ๆ ถ้าไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ผ่อนผันเมื่อใด และอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปีบริบูรณ์ ก็ต้องเข้ารับการตรวจเลือก
๒.๓
บุคคลที่อยู่ในระหว่างการศึกษาตามที่กำหนดในกฎกระทรวงฉบับที่ ๗๓ (พ.ศ.๒๕๓๖)
ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗
๒.๓.๑
นิสิตหรือนักศึกษามหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ผ่อนผันให้เฉพาะผู้ซึ่งระหว่างการศึกษาที่ไม่สูงกว่าชั้นปริญญาโท
และผ่อนผันให้จนถึงอายุครบ ๒๖ ปีบริบูรณ์ เว้นแต่นิสิตหรือนักศึกษาวิชาแพทย์ศาสตร์
ผ่อนผันให้ในระหว่างที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลหรือสถาบันทางแพทย์
เพื่อขึ้นทะเบียน และรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรมอีกปีหนึ่ง สำหรับมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ผ่อนผัน
ให้เฉพาะผู้ซึ่งมีผลการศึกษาสอบไล่ได้ภาคละไม่น้อยกว่า ๙
หน่วยกิต ทุกภาคติดต่อกันเว้นแต่ภาคใดขาดสอบเพราะเหตุสุดวิสัยซึ่งมหาวิทยาลัยรับรอง
๒.๓.๒ นักศึกษามหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชนผ่อนผันให้เฉพาะ
ผู้ซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษาเพื่อรับประกาศนียบัตรหรือปริญญา
ที่ไม่สูงกว่าชั้นปริญญาโท และผ่อนผันให้จนถึงอายุครบ ๒๖ ปีบริบูรณ์ เว้นแต่นักศึกษาวิชาแพทย์ศาสตร์
ผ่อนผันให้ในระหว่างที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล หรือสถาบันทางแพทย์เพื่อขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรมอีกปีหนึ่ง
๒.๓.๓ นักเรียนหรือนักศึกษาโรงเรียนอาชีพหรือวิทยาลัยสังกัดหรืออยู่ในความควบคุมของกระทรวง
ทบวง หรือองค์การของรัฐ ผ่อนผันให้
เฉพาะผู้ซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษาเพื่อรับประกาศนียบัตรหรือปริญญาตรี
หรือวิทยฐานะซึ่งทางราชการรับรองว่าเทียบเท่าได้ไม่สูงกว่าชั้นปริญญาตรี
และผ่อนผันให้จนถึงอายุครบ ๒๖ ปีบริบูรณ์
๒.๓.๔ นักเรียนโรงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายผ่อนผันให้ไม่เกินอายุ
๒๒ ปีบริบูรณ์
วิธีปฏิบัติในการผ่อนผันนักเรียน นิสิต นักศึกษา จะต้องนำหมายเรียกเข้ารับราชการทหาร (แบบ
สด.๓๕) ไปแสดงต่อสถานศึกษาเพื่อให้เจ้าหน้าที่
ของสถานศึกษาดำเนินการขอผ่อนผันให้ ดังนี้
ก.
กรณีเป็นโรงเรียน ให้แจ้งต่อ กรมหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น
และมีฐานะเทียบเท่ากรมซึ่งโรงเรียนนั้นอยู่ในสังกัดหรืออยู่ในความควบคุม
แล้วแต่กรณี
เพื่อขอผ่อนผันไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดที่ผู้นั้นมีภูมิลำเนาทหารอยู่
ภายในเดือนกุมภาพันธ์
ของปีที่จะต้องตรวจเลือกเข้ากองประจำการ(ปีที่มีอายุครบ ๒๑
ปีบริบูรณ์)
ข.
กรณีเป็นมหาวิทยาลัย สถาบัน หรือวิทยาลัยของรัฐให้ขอผ่อนผันไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งผู้นั้นมีภูมิลำเนาทหารอยู่
ภายในเดือนกุมภาพันธ์
ของปีที่จะต้องตรวจเลือกเข้ากองประจำการ (ปีที่มีอายุครบ ๒๑ ปีปริบูรณ์)
ค. สำหรับ มหาวิทยาลัย สถาบัน หรือวิทยาลัย ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
ให้แจ้งต่อทบวงมหาวิทยาลัย เพื่อขอผ่อนผันไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งผู้นั้นมีภูมิลำเนาทหารอยู่
ภายในเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่จะต้องตรวจเลือกเข้ากองประจำการ
ข้อควรจำ
นักเรียน นิสิต
นักศึกษา ซึ่งมีสิทธิได้รับการผ่อนผันตลอดเวลาที่อยู่ในระหว่างการศึกษา จะต้องไปแสดงตนต่อคณะกรรมการตรวจเลือก
ในวันตรวจ
เลือกทุกปีตามที่กำหนดไว้ในหมายเรียกเข้ารับราชการทหาร(แบบ สด.๓๕) เมื่อไปแสดงตนจะได้รับใบรับรองผลการตรวจเลือก
(แบบ สด.๔๓) ในฐานะคนผ่อนผันไว้เป็นหลักฐาน หากไม่ไปแสดงตนต่อคณะกรรมการตรวจเลือกจะมีความผิดตามกฎหมาย
และเมื่อสำเร็จการศึกษาหรืออายุครบ ๒๖ ปีบริบูรณ์แล้ว ถือว่าหมดเหตุผ่อนผันให้แจ้งด้วยตนเองต่อนายอำเภอหรือท้องที่ที่ตนอยู่
หรือทำการประจำภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่สำเร็จการศึกษาหรือ
มีอายุครบ ๒๖ ปีบริบูรณ์แล้ว
เพื่อที่จะต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร(เกณ์ทหาร)
ต่อไป อย่างไรก็ดี หลังจากทำเรื่องขอผ่อนผันแล้วเพื่อความมรอบคอบ
ประมาณเดือนมีนาคมของปีที่สัสดีจังหวัดภูมิลำเนาทหารด้วยตัวเอง
หรือให้ผู้ปกครองไปสอบถามแทนก็ได้ว่าเรื่องขอผ่อนผันได้ดำเนินการแล้วหรือ
ยัง
หากยังจะได้ดำเนินการแก้ไขได้ทันเวลา
ทั้งนี้เพื่อป้องกันการผิดพลาดทางธุรการจนเป็นเหตุให้เสียสิทธิต้องเข้ารับ
การตรวจเลือกจะอาจถูกเข้ากองประจำการได้
๓. การผ่อนผันให้แก่ผู้ที่ถูกเป็นทหารเพื่อลาศึกษานักเรียน
นิสิตนักศึกษาที่ไม่ได้รับการผ่อนผัน เมื่อไปตรวจเลือกทหารและถูกเข้ากองประจำการ
จะมีสิทธิได้รับการผ่อนผันให้ลาศึกษาต่อได้เฉพาะหลักสูตรสาขาวิชาและในสถานศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่เท่านั้น
ถ้าสำเร็จการศึกษาหรือต้องออกจากสถานศึกษา
นั้น ๆ หรือมีอายุครบ ๒๖ ปีบริบูรณ์แล้ว ก็ให้กลับเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำการตามสังกัดและจะต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ดังนี้
คือ
๓.๑ เป็นผู้ที่สอบคัดเลือกเข้าศึกษาในสถานศึกษาแห่งใหม่แต่อยู่ในระหว่างรอฟังผลสอบ
๓.๒ เป็นผู้ที่ไม่ได้ขอผ่อนผันการตรวจเลือกตามกฎหมายเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยเพราะประสพอุบัติเหตุหรือป่วยซึ่ง
๓.๓ กรณีที่ไม่ใช่ความผิดของนักศึกษาและเป็นเหตุให้นักศึกษาไม่ได้รับสิทธิผ่อนผัน
เช่น เจ้าหน้าที่ของสถานศึกษาส่งรายชื่อเพื่อขอผ่อนผัน
ผิดพลาดหรือตกหล่น , หรือเอกสารหายระหว่างส่งไปยังจังหวัดภูมิลำเนาทหาร, หรือส่งภายหลังการตรวจเลือกเสร็จสิ้นแล้ว
แต่ถ้านักเรียน
นิสิต นักศึกษาผู้ใดซึ่งได้รับการผ่อนผันอยู่แล้วไปยื่นคำร้องขอสละสิทธิการผ่อนผันเพื่อเข้ารับการตรวจเลือก
กรณีนี้ถ้าถูกเข้ากองประจำ
การไม่มีสิทธิผ่อนผันให้ลาศึกษาต่อ เพราะเป็นความสมัครใจของเจ้าตัวเอง
การยื่นเรื่องขอผ่อนผัน
กรณีก่อนรายงานตัวเข้ารับราชการทหารกองประจำการ
ตามกำหนดในหมายนัดของนายอำเภอ
ให้สถานศึกษาเป็นผู้ดำเนินการ
โดยผ่านกรมและกระทรวงเจ้าสังกัดแล้วให้กระทรวงเจ้าสังกัดแจ้งต่อกระทรวง
กลาโหม แต่ถ้าเข้ากองประจำการแล้วให้ยื่นเรื่องขอลาศึกษาต่อจากต้นสังกัด
(หน่วยทหาร) เสนอตามสายการบังคับบัญชาจนถึงกระทรวงกลาโหม
ส่วนการจะอนุมัติหรือไม่อนุมัตินั้นเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
กลาโหม
ถ้าอนุมัติให้ลาศึกษาต่อหน่วยทหารต้นสังกัดจะออกบัตรอนุญาตลาแบบ ๒
ให้ไว้เป็นหลักฐาน
๔.การผ่อนผันการให้แก่แพทย์ที่ถูกเป็นทหารเข้ารับราชการทหารกองประจำการจะ
ผ่อนผันให้แก่แพทย์ซึ่งเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันชั้น
๑ สาขาเวชกรรมซึ่งจบการศึกษาแล้ว
และต้องรับราชการชดใช้ทุนให้แก่ทางราชการ
เมื่อถูกเข้ากองประจำการจะผ่อนผันให้รับราชการในกองประจำการ
น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดโดยให้ลาพักรอการปลด เพื่อไปรับราชการชดใช้ทุนตามสัญญา
ดังนี้
๔.๑ ผู้ที่สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ ๑ หรือ ชั้นปีที่ ๒ จากกรมการรักษาดินแดน
เมื่อขึ้นทะเบียนกองประจำการแล้วให้ลาพักรอการปลด
เพื่อไปรับราชการชดใช้ทุนแก่ทางราชการตามส่วนราชการต้นสังกัด โดยขออนุมัติต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
แต่ถ้ายังไม่ได้รับการฝึกวิชาทหาร ให้ทำการฝึกวิชาทหารตามระเบียบเป็นเวลา ๘
สัปดาห์ก่อน
๔.๒ ให้กระทรวงหรือทบวงต้นสังกัดที่แพทย์ผู้นั้นรับราชการอยู่ จัดทำบัญชีรายชื่อเฉพาะแพทย์ที่จบการศึกษาแล้ว
และจะต้องรับราชการ
ชดใช้ทุนแก่ทางราชการต่อกระทรวงกลาโหมเป็นปี ๆ ก่อนวันตรวจเลือกไม่น้อยกว่า
๓๐ วัน ถ้าผู้ใดถูกเข้าเป็นทหารกองประจำการก็ให้ส่งบัญชีรายชื่อ
ต่อกระทรวงกลาโหมอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเสร็จการตรวจเลือกของผู้นั้นแล้ว เพื่อดำเนินการตามข้อ
๔.๑
อธิบายศัพท์
-
ก่อนรายงานตัว คือ นักศึกษาที่จับสลากแล้วถูกเข้ากองประจำการแต่ยังไม่เข้ารายงานตัวต่อหน่วยต้นสังกัด
เช่น จับสลากได้ผลัด ๒ คือ ต้องเข้าหน่วยในวันที่ ๑ พ.ย. แต่เจ้าตัวยังไม่ได้เข้าหน่วยในวันที่
๑ พ.ย.
- เข้ากองประจำการแล้ว
คือ นักศึกษาที่จับสลากแล้วถูกเข้ากองประจำการ ได้เข้ารายงานตัวกับหน่วยแล้ว
เช่น จับสลากได้ผลัด ๒ คือ ต้องเข้าหน่วย
ใน ๑ พ.ย. ซึ่งเจ้าตัวได้เข้าหน่วยตั้งแต่วันที่ ๑ พ.ย. ไปแล้ว
ผู้ที่ต้องถูกเรียกพลมีหลายประเภท แต่จะกล่าวถึงเฉพาะ "ทหารกองหนุนประเภทที่
๑ " คือ ทหารที่ปลดจากกองประจำการ โดยรับราชการในกอง
ประจำการ จนครบกำหนด และทหารกองเกินที่จบการฝึกวิชาทหารในชั้นปีที่ ๓ (รด.
ปี ๓) ขั้นไป เมื่อขึ้นทะเบียนกองประจำการแล้วปลดเมื่อปลดเป็นกองหนุน
จะได้รับหนังสือสำคัญ(สด.๘) พร้อมกับสมุดประจำตัวทหารกองหนุน ประเภทที่ ๑ ไว้เป็นหลักฐานภายในระยะเวลาประมาณไม่เกิน
๒ ปี ทารราชการ
จะเรียกเข้ารับราชการทหารในการเรียกพล ซึ่งจะไม่เรียกทุกคน ดังนั้น ผู้ที่ถูกเรียกพลก็จะต้องไปตามวัน
เวลา และสถานที่ ที่กำหนดต่อไป
๑. การเรียกพลมีดังนี้
๑.๑ การเรียกพลเพื่อตรวจสอบ คือ การเรียกกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหาร กำหนดไม่เกิน
๑ วันโดยกระทำในยามปกติเพื่อเข้ารับการตรวจสอบ
สภาพ ตรวจสอบบัญชี และซักซ้อมระเบียบ
๑.๒ การเรียกพลเพื่อฝึกวิชาทหาร คือ การเรียกกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหาร
มีกำหนดไม่เกิน ๖๐ วัน โดยกระทำในยามปกติเพื่อเข้ารับการ
ฝึกทบทวนวิชาทหาร
๑.๓ การเรียกพลเพื่อทดลองความพรั่งพร้อม คือ การเรียกกำลังพลสำรอง เข้ารับราชการทหารมีกำหนดไม่เกิน
๖๐ วัน โดยกระทำในยามปกติ และยามสถานการณ์คับขัน เพื่อทดลองแผนหรือเตรียมรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้
๑.๔ การระดมพล คือ การเรียกกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหารในยามที่ประเทศชาติอยู่ในสถานการณ์คับขัน
โดยมีกำหนดเวลาขึ้นอยู่กับ
สถานการณ์นั้นเพื่อป้องกันประเทศ หรือปราบปรามจราจลและขยายกำลังอัตราสงคราม
การเรียกพลที้ง ๔ ประเภทนี้ เป็นการเตรียมพลเพื่อให้กำลังพลมีประสิทธิภาพในการพร้อมอยู่ตลอดเวลา ทหารกองหนุน
เมื่อได้รับหมายเรียก
พลจากนายอำเภอท้องที่แล้ว ต้องไปเข้ารับการเรียกพลตามวัน เวลา และสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายเรียกพล
หากหลีกเลี่ยงขัดขืนจะมีความผิดตามกฎหมาย
คือ หลีกเลี่ยงหรือขัดขืนไม่เข้ารับราชการทหารในการเรียกพลเพื่อตรวจสอบต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
๓ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๓๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ ถ้าหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนไม่เข้ารับราชการทหารในการเรียกพลเพื่อฝึกวิชาทหาร
หรือทดลองความพรั่งพร้อม หรือในการระดมพล ต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่ ๓ เดือน ถึง ๔ ปี
๒. การผ่อนผันการเรียกพล ทหารกองหนุนผู้ใด
ถ้าเห็นว่าตนจะได้รับการผ่อนผันไม่ต้องเรียกเข้ารับราชการทหารในการเรียกพลเพื่อตรวจสอบ
เพื่อฝึกวิชาทหาร หรือเพื่อทดลองความพรั่งพร้อม เพราะเป็น
๒.๑ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และข้าราชการ (ตั้งแต่ระดับ ๕ หรือเทียบเท่าขึ้นไป)
ก็ให้แจ้งต่อสถานศึกษาหรือส่วนราชการที่ตนสังกัดอยู่ พร้อมส่งหลักฐานขอผ่อนผันไปยังกระทรวงกลาโหม
ดังนี้
๒.๑.๑ บัญชีรายชื่อ (แบบ สด.๔๕)
๒.๑.๒ สำเนาหนังสือสำคัญ (แบบ สด.๘๗)
๒.๑.๓ สำเนาหมายเรียกพล (ถ้ามี)
๒.๑.๔ สำเนาหลักฐานการเปลี่ยนชื่อ - ชื่อสกุล(ถ้ามี)
๒.๑.๕ สำเนาหลักฐานการย้ายภูมิลำเนาทหาร (ถ้ามี)
๒.๒ ครูหรืออาจารย์ ซึ่งประจำการสอนหนังสือ หรือวิชาการต่าง ๆ จะต้องไปขอผ่อนผันด้วยตนเองต่อนายอำเภอท้องที่ที่ทำการสอนอยู่
(ไม่ต้องส่งไปที่กระทรวงกลาโหม) โดยนำหลักฐาน ดังนี้
๒.๒.๑ สำเนาหนังสือสำคัญ(แบบ สด.๘)
๒.๒.๒ หลักฐานรับรองว่าเป็นครูหรืออาจารย์
๒.๒.๓ สำเนาทะเบียนบ้าน
การขอผ่อนผัน
นักเรียน นิสิต และนักศึกษา ให้สถานศึกษาจัดทำบัญชีรายชื่อ (แบบ สด.๔๕) ส่งไปยัวกระทรวงกลาโหมทันทีโดยไม่จำเป็นต้อง
รอให้ได้รับหมายเรียกพลก่อน
ให้ขอผ่อนผันได้เมื่อเป็นทหารกองหนุนและอยู่ในระหว่างการศึกษาสำหรับผู้ที่
ได้รับการแต่งตั้งยศเป็นนายทหารสัญญาบัตร
ยศตั้งแต่ ว่าที่ร้อยตรี ขั้นไป จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับทหาร ว่าด้วยการแบ่งประเภทนายทหารสัญญาบัตร
ซึ่งถือว่าเป็นนายทหารกองหนุน โดยปกติมีหน้าที่เข้ารับราชการปีหนึ่งไม่เกิน
๒ เดือน จึงไม่มีสิทธิที่จะขอผ่อนผันการเรียกพล
ทหารกองหนุนเมื่อได้รับหมายเรียกพลแล้ว ขอได้สละเวลา
ไปรับเวลาทหารด้วยความสมัครใจ เพื่อเป็นการพบปะผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมรุ่น
ทั้งเป็นการฝึกทวนแนะนำอาวุธใหม่ ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ดังนั้น อย่าได้คิดหลีกเลี่ยง
ขัดขืน หรืออ้างความจำเป็นใด ๆ จนเป็นเหตุให้ขาดการปฏิบัติหน้าที่ที่ดีต่อชาติ
ทั้งนี้ เพราะประโยชน์ต่อตัวท่านเองและประเทศชาติในที่สุด
ถาม: ถ้าบิดามารดาเป็นคนไทย
ไปประกอบอาชีพส่วนตัวที่สหรัฐอเมริกา และมีบุตรชาติเกิดที่นั่น ๑ คน ตั้งแต่บุตรชายเกิดทั้งบิดามารดาและบุตร
ไม่เคยกลับประเทศไทยเลย บุตรไม่มีชื่อในทะเบียนบ้านและยังไม่ได้ทำบัตรประจำตัวประชาชนในปี
๒๕๔๑ บุตรมีอายุย่าง ๑๘ ปี ซึ่งครบกำหนด
จะต้องลงบัญชีทหารกองเกิน บิดาจึงบอกแก่บุตรให้เขียนจดหมายถึงอา (น้องชายของบิดา)
ซึ่งอยู่ในประเทศไทยพร้อมกับให้ส่งสำเนาสูติบัตร และให้บุตร
แจ้งว่ามีตำหนิแผลเป็นที่คอมาเพื่อให้อาไปแจ้งการลงบัญชีทหารกองเกินแทนไว้ก่อน
เพราะกลัวว่าเมื่อกลับมาอยู่ประเทศไทย หากไม่ลงบัญชีฯ ตามที่กำหนด
จะมีความผิดฐานหลีกเลี่ยงขัดขืนกรณีนี้จะเป็นการถูกต้องหรือไม่ อย่างไร
ตอบ: กรณีนี้อาจจะต้องนำสำเนาสูติบัตรไปพบเจ้าหน้าที่สัสดีอำเภอที่บิดามารดามีภูมิลำเนา
เพื่อแจ้งการลงบัญชีทหารกองเกิน แทนเจ้าการลงบัญชี
ทหารกองเกินแทน เจ้าหน้าที่สัสดีอำเภอจะให้ผู้แจ้งแทนกรอกข้อความลงในใบแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกิน(แบบ
สด.๔๔) เมื่อเจ้าหน้าที่ตราจสอบ
หลักฐานแล้วเห็นว่ายังขาดสำเนาทะเบียนบ้าน
บัตรประชาชนของผู้ขอลงบัญชีฯ
ก็จะบันทึกเสนอนายอำเภอให้ชะลอการลงบัญชีทหารกองเกินไว้ก่อนเมื่อ
หลักฐานครบแล้วจึงค่อยสอบสวนดำเนินการรับลงบัญชี ฯ ให้ตามระเบียบเมื่อนายอำเภอเห็นชอบ
ให้ผู้แจ้งเซ็นทราบไว้ในใบแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกิน
(แบบ สด.๔๔) แล้วถ่ายสำเนาให้ผู้แจ้งแทนเก็บไว้เป็นหลักฐาน ๑ ฉบับ เมื่อมีเอกสารครบแล้วว
แม้จะมาลงบัญชีฯ เกินกำหนดก็ไม่ต้องถูกดำเนินคดีฐาน
หลีกเลี่ยงขัดขืนแต่อย่างใด เพราะได้ยื่นคำร้อง คือ ใบแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกิน
(แบบ สด.๔๔) ไว้แล้ว
ถาม
: เหลือง เป็นผู้มีสัญชาติไทยไปทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ไต้หวันและมีความสัมพันธ์กับนายจ้างจนมีบุตรชายร่วมกัน
๑ คน ชื่อเหลียงเกิดเมื่อ
๒ เมษายน ๒๕๒๔ ต่อมาเมื่อ ๑๓ เมษายน ๒๕๔๙ นางเหลืองได้เดินทางกลับประเทศไทยพร้อมบุตร
และมาอยู่กับแม่ที่อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของตนและได้เพิ่มชื่อบุตรชายไว้ในทะเบียนบ้านเรียบร้อย
ต่อจากนั้นเมื่อ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๒๙ นางเหลืองได้กลับไปทำงานที่ไต้หวัน
ตามเดิมโดยให้ลูกชายอยู่กับยายที่บ้านอำเภอโนนไทยเมื่อลูกชายอายุครบ ๑๕ ปีบริบูรณ์
ได้ทำบัตรประจำตัวประชาชน ต่อจากนั้นนางเหลืองได้ให้บุตรชาย
ไปทำงานด้วยกันที่ไต้หวัน กรณีนี้ เมื่อนายเหลียงอายุ ๑๗ ปีบริบูรณ์ ซึ่งครบกำหนดลงบัญชีทหารกองเกินจะต้องปฏิบัติอย่างไร
ตอบ:
นายเหลียงจะต้องนำบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านไปแสดงเห็นว่าจะมาลงบัญชีทหารกองเกิน
ณ อำเภอโนนไทย แต่ถ้านายเหลียงเห็นว่าจะมาลงบัญชี ฯ ด้วยตนเองไม่สะดวกเพราะจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง
นายเหลียงก็สามารถมอบให้ยายเป็นผู้ไปแจ้งแทนได้ โดยบอกตำหนิแผยเป็นที่เห็นได้ง่ายชัดเจนเหนือเอวขึ้นไปให้ยายทราบ
เพื่อยายจะได้ไปแจ้งการลงบัญชีทหารกองเกินแทนได้ถูกต้อง เมื่อได้รับลงบัญชีฯ
แล้วทางอำเภอจะออกใบสำคัญ (แบบ สด.๙) มอบให้ยายเพื่อนำไปมอบให้แก่นายเหลียง
เก็บไว้เป็นหลักฐานต่อไป
ถาม
: นายฉมัง หนัมหลุด กับ นางโฉม
ฉุนนาม ได้จดทะเบียนสมรสเป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมาย และมีบุตรชายร่วมกัน
๑ คน ชื่อ ฉมวก ต่อมาเมื่อฉมวกอายุได้ ๑๓ ปี นายฉมังและนางโฉมได้หย่าขาดจากกันตามกฎหมาย
โดยนางโฉมเป็นผู้เลี้ยงดูบุตร หลังจากหย่ากันแล้วไม่ทราบว่า
นายฉมังไปอยู่ที่ไหนไม่สามารถติตต่อกันได้ ขณะนี้นายฉมวกมีอายุครบ ๑๗ ปีบริบูรณ์
ซึ่งจะต้องลงบัญชีทหารกองเกิน กรณีนี้จะปฏิบัติอย่างไร
ตอบ:
ตามหลักกฎหมาย ถ้าบิดายังมีชีวิตอยู่จะต้องไปลงบัญชีทหารกองเกินที่อำเภอที่ที่บิดามีภูมิลำเนา
ในกรณีนี้ ถ้าสอบสวนได้ความชัดแจ้งว่า ไม่สามารถติดต่อกับบิดาได้ ก็ให้ลงบัญชีทหารกองเกินที่อำเภอท้องที่ที่มารดามีภูมิลำเนา
โดยนำทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชนไปประกอบ
หลักฐานการลงบัญชีฯ ด้วย
ถาม
: กระผมมีลูกชายอยู่หนึ่งคนส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่อายุ ๑๕ ปี ขณะนี้อายุ
๑๗ ปีบริบูรณ์ จะลงบัญชีทหารกองเกินอย่างไร
ตอบ
:ให้บิดาหรือมารดาหรือผู้บรรลุนิติภาวะและเชื่อถือได้ไปแจ้งการลงบัญชีทหารกองเกิน
แทน ณ อำเภอภูมิลำเนาของบิดา โดยนำสำเนาทะเบียน
บ้าน สูติบัตร รูปถ่ายของผู้ขอลงบัญชี ฯ (ลูกชาย) สำเนาหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ
และหลักฐานการศึกษา เพื่อเจ้าหน้าที่สัสดีจะได้ตรวจสอบ
หลักฐานและสอบสวนว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยจริงและไม่ผิดตัวในการรับลงบัญชี ฯ
กรณีนี้ ถ้าไม่มิสูติบัตรจะต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนประกอบการรับลง
บัญชีฯ และผู้แจ้งแทนจะต้องทราบตำหนิแผลเป็นของผู้ขอลงบัญชี ฯ ด้วย ถ้าหลักฐานไม่ครบเจ้าหน้าที่จะบันทึกในใบคำร้อง
คือ ใบแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหาร
กองเกิน (แบบ สด.๔๔) ไว้เป็นหลักฐานเมื่อได้หลักฐานหลีกเลี่ยงขัดขืน
ถาม : กระผมเป็นนักศึกษาไม่ได้เรียน รด. ขณะนี้อายุ ๒๑ ปีบริบูรณ์
จะทำอย่างไรถึงจะขอผ่อนผันได้
ตอบ : ต้องรีบไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของสถานศึกษาซึ่งมีหน้าที่ทำเรื่องขอผ่อนผัน
เพื่อดำเนินการส่งรายชื่อขอผ่อนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดภูมิลำเนา
ทหารโดยด่วนภายในเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่จะต้องตรวจเลือกเข้ากองประจำการ หากเกินกำหนดจะไม่ได้รับสิทธิในการผ่อนผัน
ถาม : พ่อกับแม่ของกระผมหย่ากัน พ่อไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่แม่อยู่กรุงเทพฯ
กระผมอยู่กับแม่ที่กรุงเทพฯ จะลงบัญชี ฯ ที่กรุงเทพฯ จะได้หรือไม่
ตอบ:
ได้ แต่ต้องย้ายทะเบียนบ้านของพ่อมาอยู่กับแม่ที่กรุงเทพ ฯ ด้วย เมื่อลงบัญชี
ฯ เสร็จแล้ว จึงค่อยย้ายทะเบียนบ้านของพ่อไปอยู่ที่เชียงใหม่ตามเดิม
ถาม:
ผมเสียเงินไปแล้ว อยากทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อถึงวันเกณฑ์ ผมไม่ไปเกณฑ์ทหาร
ตอบ
: ถ้าไม่ไปเกณฑ์ทหารจะมีความผิดฐานหลีกเลี่ยงขัดขืนกล่าว คือ ถ้ายังไม่ได้รับหมายเรียก
ฯ จะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามร้อยบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับถ้ารับหมายเรียก ฯ แล้ว จะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
ทุกคนจะต้องไปเข้ารับการตรวจเลือก และจะได้รับใบรับรองผลการตรวจเลือก ฯ (แบบ
สด.๔๓)จากประธานกรรมการตรวจเลือกในวันตรวจเลือกเท่านั้นถ้าได้รับในวันอื่นถือว่าเป็นเอกสารที่ทาง
ราชการมิได้ออกให้ หากผู้ใดนำไปใช้ถือว่าใช้เอกสารปลอม จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ถาม : ขณะนี้เหตุการณ์ปกติไม่มีสงครามแล้ว ควรจะยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้หรือไม่
ตอบ : ไม่ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศโดยรับราชการทหาร
ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจเลือกทหารทุกปีเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมไว้ทั้งในยามปกติและในยามสงครามทั้งสอบคล้องกับรัฐธรรมนูญด้วย
ถาม : ถ้าไม่ลงบัญชีทหารกองเกินจะมีความผิดอย่างไร
ตอบ : ถ้าเกินกำหนดระยะเวลาการลงบัญชี ฯ จะมีความผิดฐานหลีกเลี่ยงขัดขืน
กล่าวคือ ถ้าหน้าที่สัสดีส่งรายชื่อไปให้ตำรวจติดตามจับกุมตัวมาดำเนิน
คดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่ถ้าเจ่าตัวได้มาแสดงตนของลงบัญชี ฯ ก่อนที่เจ้าหน้าที่สัสดี
จะส่งรายชื่อไปให้ตำรวจติดตามจับกุมตัวต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน
หรือปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถาม : ถ้าอายุ ๑๗ ปี แล้ว ยังอยู่เมืองนอกสามารถไปแจ้งลงบัญชี ฯ ที่สถานทูตไทยประจำประเทศนั้น
ๆ ได้หรือไม่
ตอบ
:ไม่ได้แต่จะแจ้งแทนได้โดยต้องให้บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะและเชื่อถือได้ที่
อยู่ในประเทศไทยไปแจ้งการลงบัญชี
ฯ แทน ณ อำเภอภูมิลำเนาของบิดาหรือมารดา หรือผู้ปกครอง แล้วแต่กรณี
โดยนำหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชนหรือสูติบัตร
พร้อมทะเบียนบ้าน และต้องทราบตำหนิแผลเป็นของผู้ขอลงบัญชี ฯ ด้วย
เพื่อเจ้าหน้าที่สัสดีอำเภอจะได้ตรวจสอบหลักฐานและสอบสวนผู้แจ้งแทน
หากปรากฎชัดเจนว่าผู้ขอลง
บัญชี ฯ มีอายุอยู่ในกำหนดลงบัญชี ฯ มีสัญชาติไทยจริง มีภูมิสำเนาถูกมอบให้ผู้ขอลงบัญชีฯ
แทนรับไป เพื่อนำไปมอบให้กับเจ้าตัวเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ถาม:
ผมมีสิทธิผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร แต่ผมเสี่ยงไปเข้ารับการตรวจเลือกและถูกเข้ากองประจำการ
กรณีนี้ผมจะขอผ่อนผันลาไปศึกษาต่อจนกว่า
จะสำเร็จการศึกษาแล้วจึงค่อยเข้ารับราชการในกองประจำการจะได้หรือไม่
ตอบ :ไม่ได้ เพราะเป็นการสละสิทธิ์ในการผ่อนผัน โดยสมัครใจเข้ารับการตรวจเลือก
ดังนั้นเมื่อถูกเข้ากองประจำการ จะต้องเข้ารับราชการในกอง
ประจำการตามกำหนดในหมายนัดของนายอำเภอจะขอผ่อนผันลาไปศึกษาต่ออีกไม่ได้
ถาม
: ขณะนี้ผมอายุ ๒๒ ปีบริบูรณ์ ปีที่แล้วผมรับหมายเรียก ๆ แต่ไม่ได้ไปตรวจเลือก
อยากทราบว่าปีนี้ จะไปตรวจเลือกได้หรือไม่ หรือจะต้องปฏิบัติ
อย่างไร
ตอบ : ถ้าได้รับหมายเรียก ฯ แล้ว
ไม่ไปเข้ารับการตรวจเลือกมีความผิดฐานหลีกเลี่ยงขัดขื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
เจ้าหน้าที่ตำรวจจะติดตาม
จับกุมตัวมาดำเนินคดี
หากไปในวันตรวจเลือกทางคณะกรรมการตรวจเลือกจะแจ้งให้ทางอำเภอส่งตัวให้
พนักงานสอบสวนดำเนินคดีเมื่อคดีสิ้นสุดแล้ว
ทางอำเภอจะมอบหมายเรียก ฯ ให้ไปเข้ารับการตรวจเลือกต่อไป
ถาม :
นักศึกษาได้แจ้งขอผ่อนผันการตรวจเลือกต่อสถานศึกษาและสถานศึกษาได้ส่งรายชื่อขอผ่อนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด
ซึ่งผู้นั้นมีภูมิลำเนาทหารอยู่ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยทำเรื่องขอผ่อนผันส่งไปพร้อมกันจำนวน
๑๕ คน ซึ่งมีภูมิลำเนาทหารอยู่จังหวัดเดียวกัน ปรากฎว่าได้รับการผ่อนผัน ๑๔
คน ส่วนอีก ๑ คน ชื่อตกหล่นไม่ได้รับการผ่อนผันจึงต้องเข้ารับการตรวจเลือก
และจับสลากถูกเข้ากองประจำการ แผนกทหารบก อยากทราบว่าทำอย่างไรถึงจะ ได้รับการผ่อนผัน
เช่นเดียวกันกับ ๑๔ คนนั้น
ตอบ
:
กรณีนี้จะต้องยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการชั้นสูงโดยติดต่อที่แผนกสัสดีจังหวัด
ที่เข้ารับการตรวจเลือก
เพื่อขอความเป็นธรรม
ถ้าคณะกรรมการชั้นสูงพิจารณาแล้วปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าเกิดบกพร่องทางธุรการ
เนื่องจากมิได้เพิ่มรายชื่อไว้ในบัญชีเรียกประเภทคนผ่อนผัน
คณะกรรมการชั้นสูงก็จะติดสินงดส่งตัวเข้ากองประจำการ
ให้กลับมีสภาพเป็นทหารกองเกิน
และมีสิทธิได้รับการผ่อนผันต่อไป
ถาม : เมื่อนักศึกษาจบการศึกษาแล้วสถานศึกษาของเอกชนจะต้องแจ้งให้
กห.ทราบเพื่อจำหน่ายจากคนผ่อนผันการเรียกพลนั้นต้องส่งผ่านทบวงก่อน
หรือไม่
ตอบ
: ไม่ต้องส่งผ่านทบวง ส่งตรงให้ กห. เพื่อดำเนินการเหมือนกับการขอผ่อนการเรียกพล
ข้อควรจำ
ใบรับรองผลการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ(แบบ
สด.๔๓) ประธานกรรมการตรวจเลือกจะเป็นผู้มอบให้ผู้เข้ารับการตรวจเลือกทุกคนในวันตรวจเลือกเท่านั้น
หากไม่ได้ไปเข้ารับการตรวจเลือก แต่ได้รับใบรับรองผล ฯ (แบบ สด.๔๓) จากบุคคลอื่นในวันอื่น
แสดงว่าเป็นใบรับรองผล ฯ ปลอม มีความผิดต้องระวางโทษถึงจำคุก
ข้อมูลจาก http://www.mod.go.th/misc/officer1.htm
|